การพัฒนาสังคมในมิติ “อัล-อิสลาม”
ว่าด้วยหลัก 5 ประการ
การพัฒนาในมุมมองของอิสลามนั้นมีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดต่อคำจำกัดความหรือ
คำนิยามการพัฒนาในทฤษฎีของตะวันตก สิ่งที่แตกต่างมากที่สุดก็คือ เรื่องศีลธรรม
ศาสนา จริยธรรมต่างๆ นั้นไม่ได้มีบทบาทแต่อย่างใดในความคิดของนักทฤษฎีตะวันตก แต่สำหรับอิสลามแล้ว
ศีลธรรม ไม่ได้ถูกแยกออกจากการปฏิบัติ ทั้งสองอย่างเป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่ทำให้กิจกรรมการพัฒนานั้นมีความสมดุล
ไม่ขึ้นอยู่กับอารมณ์แต่ฝ่ายเดียว โดยปราศจากการควบคุมพฤติกรรมของมนุษย์หรือตัวกระตุ้นภายในของมนุษย์นั้นก็คือ
ศีลธรรมอิสลาม นั่นเอง เพราะการพัฒนาที่มุ่งเน้นแต่ด้านวัตถุอย่างเดียว ในที่สุดแล้วจะเกิดปัญหาขึ้นมาภายหลัง
ในทางตรงกันข้าม การมุ่งพัฒนาตนเองอย่างเดียวก็ไม่สามารถสร้างกิจกรรมการพัฒนาได้ ดังนั้นการพัฒนาในอิสลาม
อาจหมายถึง การพัฒนาทางด้านวัตถุ จิตใจ ตลอดจนศีลธรรม ทั้งของแต่ละคนและของสังคมที่นำไปสู่การอยู่ดีกินดีทางเศรษฐกิจและสังคม
ด้วยกับการสร้างระเบียบทางสังคมซึ่งผลลัพธ์ของมันจะทำให้มนุษย์เป็นคนดีและประสบความสำเร็จทั้งโลกนี้และโลกหน้า แต่ดูเหมือนว่าทฤษฎีกับการปฏิบัติจะอยู่ห่างกันเหลือเกิน
ทำให้ความคิดและลักษณะเฉพาะในหลักการอิสลามไม่ได้แปรเปลี่ยนไปสู่การปฏิบัติได้เท่าที่ควร
เพราะฉะนั้นเราจึงเห็นได้ว่าสังคมมุสลิมของเราจะมีความล้าหลัง ไม่พัฒนา เพราะเราขาดแรงกระตุ้นภายใน
หรืออุดมการณ์ของอิสลามนั้นเอง
อิสลามได้วางรากฐานในการดำเนินชีวิตของผู้ศรัทธาด้วยการกำหนดภารกิจหลักอยู่
5 ประการ คือ
1. การกล่าวปฎิญาณตน
ว่า "ลาอิลาฮะอิลลัลลอฮฺมุหัมมัดรสูลลุลลอฮฺ"
(แปลว่า "ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮฺ
และมุหัมมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮฺ") คำปฎิญาณนี้เป็นถ้อยคำที่ผู้ยอมรับอิสลามทุกคนจะต้องกล่าวออกมาเป็นการยืนยันด้วยวาจาว่าตัวเองมีความศรัทธาดังที่กล่าวมาข้างต้นและพร้อมที่จะปฎิบัติตามบทบัญญัติและเงื่อนไขต่างๆ
ที่อัลลอฮฺได้ทรงกำหนดไว้ในคัมภีร์อัลกุรอานและคำสอนของท่านศาสดามุหัมมัดศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม
เมื่อใครยอมรับ อัลลอฮฺว่าเป็นพระเจ้าของเขาแล้วเขาจะต้องยอมรับว่ามุหัมมัด เป็นรสูลหรือผู้นำสารของอัลลอฮฺ
(อัลกุรอาน) มาประกาศยังมนุษย์ชาติและจะต้องเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน
นบีมุหัมมัดศ็อลลัลลอฮฺอะลัยฮิวะสัลลัม ด้วย
สังคมอิสลามนอกจากจะนิยามว่าเกิดจากการรวมตัวของคนตั้งแต่สองคนขึ้นไปแล้ว
คนในสังคมนั้นต้องปฏิญาณตนด้วยว่าไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลลอฮและท่านนบีมูหัมมัดเป็นศาสนฑูตของอัลลอฮ
เพราะการปฏิญาณตนเสมือนเป็นอุดมการณ์ของการรวมตัวกัน (เพื่อเป็นบ่าวของอัลลอฮ...)
โดยจะนำแบบอย่างที่ได้รับคำสอนจากนบีมาใช้เพื่อการดำเนินชีวิต การปฏิญาณตนของมุสลิมจะเป็นข้อย้ำเตือนเขาตลอดเวลาว่าเขานั้นเป็นใคร
เกิดมาเพื่ออะไร ดำเนินชีวิตในสังคมเพื่ออะไร
สังคมใดที่คนในสังคมมีอุดมการณ์เหมือนกันนั้นก็หมายความว่า
สังคมนั้นมีเป้าหมายที่ชัดเจนที่ก่อให้เกิดความสงบสุขในสังคมนั้น อิสลามได้วางหลักของการดำเนินชีวิตอยู่ในสังคมร่วม
ด้วยการมีอุดมการณ์ที่เหมือนกัน คือ
การปฏิญาณตนว่าเขานั้นนับถือศาสนาอิสลามเป็นมุสลิมผู้ยอมจำนนต่ออัลลอฮอย่างสิ้นเชิง
2. การละหมาด 5 เวลา การละหมาดเป็นสิ่งยืนยันความศรัทธาที่ปรากฏให้เห็น
ทางภายนอกได้ชัดเจนที่สุดเพราะเป็นการปฏิบัติที่มีรูปแบบและคนที่จะดำรงรักษาการละหมาดของตัวเองได้ครบ
5 เวลาต่อวันนั้น จะต้องเป็นคนที่มีความผูกพันต่ออัลลอฮฺและรำลึกถึงพระคุณของพระองค์อยู่ตลอดเวลา
อีกทั้งการละหมาดนั้นเสมือนเป็นเสาหลักของศาสนา การละหมาด คือ จุดยืนของมุสลิมในการดำเนินชีวิตในสังคมร่วมเพราะอยู่
ณ ที่ใดมุสลิมต้องละหมาด
การละหมาดไม่เพียงแต่ปฏิบัติแล้วได้ผลบุญเท่านั้นแต่ยังมีบทเรียนมากมายที่มนุษย์สามารถนำมาใช้ในการดำเนินชีวิตได้
เช่น การละหมาดจะช่วยให้มนุษย์พ้นจากสิ่งชั่วร้ายได้ การละหมาดสอนเรื่องผู้นำและผู้ตาม
การละหมาดสอนเรื่องการรวมตัวเพื่อการทำความดี
และยังคงมีบทเรียนอีกมากมายที่เกิดจากผลของการละหมาดถ้าเข้าใจและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการดำเนินชีวิต
หากเรามองการละหมาดในแง่สังคม ทุกครั้งที่มีการเรียกเพื่อเข้าเฝ้าพระเจ้าด้วยเสียงอาซานเรียกร้องให้คนในชุมชนมารวมตัวกันเพื่อทำการละหมาดและสอนให้มนุษย์ได้เข้าใจบทบาทของผู้นำและผู้ตาม
ผู้ที่เป็นอีหมามและมะมูมโดยมีการตออัก (การเชื่อฟัง) เป็นสายใยแห่งความสัมพันธ์
นอกจากนั้นยังมีการตักเตือนซึงกันและกัน
ได้พบปะและสร้างความสัมพันธ์ต่อกันระหว่างคนในชุมชนด้วยกันเอง
ในแง่ของการพัฒนาสังคมนั้น การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างคนในชุมชนเป็นสิ่งที่มีความสำคัญยิ่ง
เพราะจะทำให้สังคมนั้น เกิดความสามัคคี รักและห่วงใยต่อกัน สิ่งเหล่านี้ยากนักที่จะพบเห็นในสังคมเราในยุคปัจจุบัน
3. การถือศิลอด การถือศีลอดมีวัตถุประสงค์
ก็เพื่อฝึกมุสลิมให้เกิดความยำเกรงต่อพระเจ้าก็เพราะในเวลาปกติ อัลลอฮฺ
ทรงอนุมัติให้มุสลิมกินและดื่มได้อย่างเสรีแต่เมื่อถึงเดือน รอมฎอนเมื่ออัลลอฮฺทรงมีบัญชาให้ละเว้นจากการกินการดื่มมุสลิมก็ละเว้นทันทีนี่เป็นบทเรียนที่สอนมุสลิมให้มียำเกรงและเชื่อฟังอัลลอฮการถือศีลอดยังเป็นการฝึกให้ผู้ถือศีลอดซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
และพระเจ้า กล่าวคือขณะที่ถือศีลอดเขาอาจจะแอบกินอาหารและดื่มน้ำ
ในระหว่างการถือศีลอดก็ได้ โดยไม่มีใครรู้แต่ด้วยความเชื่อในพระเจ้าว่า
พระองค์ทรงเห็น และทรงรู้การกระทำของเขา ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง
นอกจากนั้นแล้ว การถือศีลอดเป็นการฝึกให้มุสลิมรู้จักการอดทนในการอดอาหารตั้งแต่เช้าถึงเย็น
เพื่อสื่อให้เห็นว่าแม้มุสลิมจะอยู่ในสถานการณ์ใดก็แล้วแต่
เขาก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้ การอดทนโดยการงด ไม่เพียงแต่เขาต้องอดทนต่อการอดอาหารเท่านั้น
แต่เขาต้องต่อสู้กับอารมณ์ (นัฟซู) เขาอีกด้วย
ชัยชนะความสำเร็จจะคู่ควรกับผู้ศรัทธาที่มีความอดทนเท่านั้น และการถือศิลอดนั้นยังเป็นการแสดงออกถึงความเสมอภาคกันในบรรดาผู้ศรัทธาด้วยเพราะในเดือนถือศีลอดมุสลิมผู้ศรัทธาไม่ว่าจะอยู่ในฐานะใดต่างก็ต้อง
งด จากการกินการดื่มเหมือนกันหมด
4.
การจ่ายซะกาต วัตถุประสงค์
ที่อิสลามกำหนดให้มุสลิมจ่ายซะกาตก็คือเพื่อเป็นการยืนยันถึงความศรัทธานอกจากนั้นแล้วการจ่ายซะกาตก็ยังมีวัตถุประสงค์
เพื่อซักฟอกทรัพย์สิน และ จิตใจของผู้จ่ายให้มีความสะอาดบริสุทธิ์ ขณะเดียวกันก็เพื่อเป็นการสร้างความเจริญให้แก่สังคมอีกด้วย
หากเรามองหลักการจ่ายซะกาตในแง่สังคมเราจะเห็นว่า
บรรดาผู้มีสิทธิได้รับซะกาตนั้น มักจะเป็นผู้ที่เป็นปัญหาในสังคม
ดังนั้นการนำซะกาตไปให้แก่คนเหล่านี้จึงเป็นการแก้ปัญหาสังคมที่ถูกจุด ขณะเดียวกันถ้าเรามองด้านเศรษฐกิจเราจะเห็นว่า
ซะกาตจะทำให้คนยากจน คนอนาถา ในสังคม มีอำนาจในการซื้อเพิ่มขึ้นเพราะมีการถ่ายเท
ทรัพย์สินจากคนรวยไปสู่คนจน และเมื่อคนเหล่านี้มีอำนาจซื้อก็จะส่งผลให้มีการผลิต ตอบสนองความต้องการทำให้มีการจ้างงานและ
มีการกระจายรายได้ทางเศรษฐกิจตามมา ดังนั้น จึงอาจพูดได้ว่า
การจ่ายซะกาตนอกจากจะเป็นการแสดงออกถึงความศรัทธาแล้วยังเป็นการแสดงความเคารพภักดีต่ออัลลอฮฺโดยผ่านการช่วยเหลือสังคมอีกด้วย
5. การประกอบพิธี ฮัจย์/ทำฮัจย์
เพื่อยืนยันถึงความศรัทธาต่ออัลลอฮฺที่ต้องอาศัยความเสียสละ ทั้ง ทรัพย์สิน และ
เวลา ความอดทน ทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจการให้อภัยและความสำนึก ทางประวัติศาสตร์
ตลอดจน ความศรัทธามั่นต่อพระผู้เป็นเจ้าไปพร้อมๆกัน การทำหัจญ์
นอกจากจะเป็นการแสดงความเคารพภักดีและ ยืนยัน ในความศรัทธาต่ออัลลอฮฺแล้ว ยังสอนมนุษย์ทุกคนให้รู้สำนึกว่าในสายตาของอัลลอฮฺแล้วมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกันเพราะในการทำฮัจญ์ผู้ทำฮัจย์
ทุกคนไม่ว่าจะมาจากชนชั้นเผ่าพันธุ์ภาษาหรือ จะมี ฐานะอย่างไรก็ตาม ทุกคนจะต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าสีขาวเพียง
2 ชิ้นเหมือนกันหมด และทุกคนจะต้องปฏิบัติพิธีการต่างๆเหมือนกันหมดเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ
จะเห็นได้ว่าจากหลัก 5 ประการ
เราสามารถถอดบทเรียนจากวัตถุประสงค์ของแต่ละหลักการจะปรับใช้ในการพัฒนาสังคมเราได้
ซึ่งขอสรุปแนวทางการพัฒนาสังคมในมิติ “อัลอิสลาม” ว่าด้วยเรื่องหลัก 5 ประการดังนี้
1.จุดเริ่มต้นของการเกิดสังคมอิสลาม คือ
การสร้างอุดมการณ์ร่วมกัน ภายใต้คำกล่าว “ลาอีลาฮาอิลลัลอฮ มูหัมมัดดุรรอซูลุลลอฮ”
ดังจะเห็นจากการสร้างรัฐอิสลามของท่านนบี คือ การเผยแผ่อิสลามให้ผู้คนได้รับรู้สู่แนวทางที่เที่ยงตรง
โดยใช้เวลา 13 ปี ที่ครั้งหนึ่งอิสลามเคยรุ่งเรือง
2.เมื่อคนที่มีอุดมการณ์เหมือนกันมารวมตัวกลายเป็นสังคมแล้ว
กระบวนการต่อไปของการสร้างสังคมอิสลาม คือ การละหมาดวันละ 5
เวลา เพื่อสอนให้คนในสังคมรู้จักการศรัทธา
เป็นผู้ศรัทธาที่เคารพเชื่อฟังกติกาของการอยู่ร่วมกันในสังคม
3.เมื่อสังคมเกิดขึ้น ความหลากหลายของผู้คนย่อมมีผลตามมา
เช่น ความแตกต่างของโครงสร้างทางสังคม ซึ่งมีทั้งคนจนและคนรวย อยู่ในสังคมเดียวกัน
เพื่อให้เกิดความเสมอภาคระหว่างกัน อิสลามได้สอนให้คนในสังคม ถือศิลอด
เพื่อให้เขาได้เข้าใจว่าทุกคนที่อยู่ในสังคมมีความเสมอภาคต่อกัน
ด้วยการฝึกให้มนุษย์อดทนต่อการ อด อาหาร ซึ่งแม้ว่าคนนั้นจะมีสถานะใดในสังคม ก็ย่อมต้องอดอาหารเหมือนกันทุกคน
ทั้งนี้ก็เพื่อแสดงให้เห็นว่าการอยู่รวมกันในสังคมนั้นทุกคนเสมอภาคกัน
และยังคงมีบทเรียนของการถือศิลอดอีกมากมายที่เราสามารถนำมาปรับใช้ในการดำเนินชีวิตร่วมในสังคม
4.ในการอยู่ร่วมกันในสังคมย่อมเกิดปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมด้วยกัน
อันจะทำให้เกิดความสัมพันธ์เชิงการช่วยเหลือซึ่งกันและกัน พึ่งพาอาศัยกัน
แม้ว่าความแตกต่างทางสถานะทางสังคมจะถูกแบ่งให้เห็นภาพชัดก็ตาม แต่นั้นคือเหตุผลที่มาจากความประสงค์ของพระเจ้า
ดังนั้นเพื่อให้เป็นแนวทางในการแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น อิสลามได้สอนให้มนุษย์รู้จักการเสียสละช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
ด้วยการกำหนดภารกิจหลัก คือ การจ่ายซะกาต ที่นอกจากจะทำให้ผู้จ่ายซะกาตมีจิตใจที่สะอาดแล้ว
ยังแสดงให้เห็นถึงการเสียสละ การช่วยเหลือเอื้อเฟื้อเผยแผ่ต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย
และยังคิดว่าบทเรียนของการจ่ายซะกาตยังคงมีอีกมากมายที่เราสามารถถอดนำมาประยุกต์ในการดำเนินชีวิตร่วมในสังคม
5.เมื่อสังคมขยายตัวกลายเป็นสังคมใหญ่ย่อมทำให้เกิดผลของการขยายตัวของสังคม
ความเจริญในทุกด้าน ความแตกต่างที่เพิ่มมากขึ้นและเข้มข้นมากยิ่งขึ้น
บางครั้งก็ทำให้เกิดความเลื่อมล้ำในสังคม ความขัดแย้งในเรื่องของสิทธิความไม่เท่าเทียมกันในสังคมเกิดขึ้น
อย่างที่เราได้เห็นในปัจจุบัน แต่ในแนวทางอิสลามเพื่อการพัฒนาในมิติดังกล่าว
อิสลามได้กำหนดภารกิจหลักอีกประการหนึ่ง คือ การทำฮัจย์ เพื่อสอนให้มนุษย์ทุกคนให้รู้สำนึกว่าในสายตาของอัลลอฮฺแล้วมนุษย์ทุกคนเท่าเทียมกัน
ไม่ว่าจะมาจากชนชั้นเผ่าพันธุ์ภาษาหรือ จะมี ฐานะ
อย่างไรก็ตามทุกคนต้องห่อหุ้มร่างกายด้วยผ้าสีขาวเพียง 2 ชิ้นเหมือนกันหมดทุกคน
เช่นเดียวกันการอยู่ร่วมกันในสังคมแม้จะมีความแตกต่างที่เป็นตัวแบ่งแยกสถานภาพทางสังคม
ในความจริงแล้วทุกคนมีความเท่าเทียมกันในการอยู่ร่วมกันในสังคมนั้นๆ
การพัฒนาสังคมในมิติ “อัลอิสลาม”
ว่าด้วยหลัก 5 ประการ เป็นการถอดบทเรียนจากความหมาย เป้าหมาย
และวัตถุประสงค์ของหลักการมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาสังคม เพราะด้วยหลัก 5 ประการดังกล่าวสามารถที่ทำให้มนุษย์เข้าใจในวิถีการดำเนินชีวิตร่วมกัน
การพัฒนาสังคมว่าด้วยหลัก 5 ประการ
จะทำให้สังคมเกิดการพัฒนาได้หรือไม่นั้น คำตอบคงจะอยู่ในตัวท่าน เพราะเพียงแค่ท่านสามารถยืนหยัดรักษาการละหมาดวันละ
5 เวลา สังคมนั้นก็สามารถดีได้ด้วยตัวของท่านแล้ว
หากสังคมสามารถนำหลัก 5
ประการทั้งหมดมาปรับใช้กับการดำเนินชีวิตด้วยการถอดมาประยุกต์ใช้แล้ว สันติสุข
(อัสาลาม) คงจะเกิดขึ้นได้ในสังคมเรา ครับ
โดย
: คอลัฟ บินลา