1) กฎหมาย
แนวความคิดด้านกฎหมายของออตโตมาน ได้รับแนวคิดจากอาณาจักรเปอร์เซียบ้าง อาณาจักรเตอรกีในอดีตบ้าง รวมถึงอาณาจักรอับบาซียะห์ซึ่งเป็นอาณาจักรอิสลามบ้าง
แนวคิดของชาวเปอร์เซียที่ได้พัฒนามาใช้ในยุคคอลีฟะห์คือ ผู้ปกครองหรือคอลีฟะห์มีอำนาจเด็ดขาด บทบัญญัติต่างๆ และความยุติธรรมเป็นไปตามความเห็นของผู้ปกครองเท่านั้น
แนวคิดของชาวเติร์กนั้นเป็นแนวความคิดที่ว่ากฎหมายมีอำนาจสูงสุด ผู้ปกครองจะต้องบังคับใช้ด้วยความยุติธรรม โดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์ส่วนตัว แนวคิดที่เหมือนแนวคิดมุสลิมในเรื่องกฎหมายอิสลามหรือชารีอะฮที่นำมาจากอัลกุรอานและอัลหะดีษ เมื่อกฎหมายอิสลามหรือชารีอะฮเป็นสิ่งสูงสุดในการส่งเสริมพฤติกรรมและชีวิตความเป็นอยู่ในชุมชน ชารีอะฮจึงไม่จำเป็นต้องปรับปรุงแก้ไขหรือสังคายนาแต่อย่างไร
แต่สังคมออตโตมานเป็นสังคมหลากหลายมีทั้งยิว คริสต์ และอื่นๆ จึงจำเป็นต้องมีกฎหมายมหาชน โดนเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจัดตั้งองค์กรและการบริหาร ดังนั้นจึงมีห้องพิเศษสำหรับการตีความและออกกฎหมายในเรื่องสำคัญๆ ที่ยังไม่ปรากฏในอัลกุรอานหรือกฎหมายที่เกี่ยวกับศาสนิกชนอื่น ตลอดจนกฎหมายที่เกี่ยวกับการบริหารองค์กรต่างๆ นักกฎหมายมุสลิม ส่วนมากรับรองสิทธิของสุลต่านเป็นผู้อำนาจสูงสุดในการออกกฎหมายประกาศใช้กฎหมายทางโลก (kanun) ในเรื่องสำคัญๆ ที่ไม่ครอบคลุมในกฎหมายชารีอะฮ
ดังนั้นกฎหมายที่ใช้ในอาณาจักรออตโตมานจึงมี 2 ประเภทคือ กฎหมายชารีอะฮและกฎหมายสุลต่านคือ สุลต่านเป็นผู้บัญญัติกฎหมายที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาอิสลาม ผู้ที่ทำหน้าที่ตัดสินประหารและบังคับใช้บทบัญญัติของสุลต่าน เรียกว่า “อะฮฺลิอุรฟ์” (ehli orf) และอุลามะอฺจะทำหน้าที่บังคับกฎหมายชารีอะฮโดยเฉพาะในมิลเล็ตมุสลิม สำหรับกฎหมายที่นำมาใช้บังคับกับศาสนิกชนอื่นนั้นสามารถตีความและใช้บังคับเฉพาะศาสนิกชนของตนโดยการนำของผู้นำศาสนานั้นๆ อุลามาอฺมีสิทธิที่จะประกาศโมฆะกฎหมายโลกที่ขัดแย้งกับกฎหมายอิสลามได้
2) กอฎี
กอฎี คือ ผู้พิพากษาตามกฎหมายอิสลามซึ่งเป็นสมาชิกของอุลามาอฺ วิชาที่ศึกษาและตีความกฎหมายนี้เรียกว่า “ฟิกฮ” จึงมีการแบ่งระหว่างผู้ที่ศึกษาและตีความกฎหมายหรือที่ปรึกษาของกฎหมายหรือมุฟตีกับผู้นำกฎหมายมาบังคับใช้ในศาลคือ ผู้พิพากษาหรือกอฎีนั่นเอง หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า “ผู้ชี้ขาด” (ฮากีม)
อาณาจักรออตโตมานได้แบ่งเขตตามอำเภอศาล ทุกเขตมีศาลประจำเขต มีผู้พิพากษาหรือกอฎีประจำเขต มีรองผู้พิพากษาและมีผู้ช่วยผู้พิพากษาอีกจำนวนหนึ่ง ในราชอาณาจักรออตโตมาน มุสลิมมีทั้ง 4 แนวทางคือ แนวทางของมัซฮับฮานาฟี ซาฟีอี มาลิกี และฮัมบาลี แต่แนวทางที่ยอมรับเป็นทางการคือ แนวทางของมัซฮับฮานาฟี กอฎีที่สังกัดมัซฮับฮานาฟีเท่านั้นที่ได้รับแต่งตั้งทำหน้าที่ในศาลต่างๆ บางเมืองเช่น อียิปต์และซีเรีย เจ้าหน้าที่ในท้องถิ่นนั้นๆ แนะนำให้คำปรึกษาแก่กอฎีทางการที่ถือแนวทางมัซฮับฮานาฟี
กอฎีทุกคนจะทำหน้าที่ทั้งทางศาลและการบริหารบ้านเมือง เมื่อเป็นผู้พิพากษาในศาลมุสลิมประจำท้องถิ่นก็จะทำหน้าที่นำกฎหมายอิสลามมาบังคับใช้ รวมถึงกฎหมายทางโลกที่สุลต่านออกประกาศบังคับใช้แก่ผู้อยู่ใต้อำนาจรวมถึงชนชั้นปกครองด้วย กอฎีจะต้องให้ความเชื่อมั่นว่าศาลจะให้ความยุติธรรมแก่ทุกคนได้ การฟ้องร้องจะต้องดำเนินการอย่างรวดเร็วและยุติธรรมแก่ทุกคนได้ โดยไม่ได้แยกชนชั้นวรรณะและไม่มีการแทรกแซงจากใครทั้งสิ้น แม้แต่ทนายความเองก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะไปช่วยปกป้อง ผู้หญิง เด็ก และเด็กกำพร้าเป็นกรณีพิเศษ
หน้าที่สำคัญของกอฎี คือ สอบสวนคดีต่างๆ เรียกตัวพยานและลงโทษผู้กระทำความผิด กอฎีได้รับความช่วยเหลือจากเจ้าเมือง (sancak bey) ประจำท้องถิ่นและหัวหน้าตำรวจ และกอฎีได้รับการยอมรับให้มีอำนาจในท้องถิ่นร่วมกัน
โดยปกติทุกๆเมือง จะมีหัวหน้าตำรวจประจำเมือง มีอำนาจจับกุมโจรผู้ร้ายตามขอบเขตอำนาจของตนและตามดุลยพินิจของกอฎี
กอฎียังต้องรับผิดชอบการบริหารท้องถิ่นอีกด้วย ต้องควบคุม ตรวจตราผู้บริหารในเขตของตน ต้องรับผิดชอบออกเอกสารสำคัญ รับรองบัญชีรายชื่อประเมินภาษีและบัญชีจัดเก็บให้ความเป็นกลาง หากเกิดความขัดแย้งขึ้นในศาล บางครั้งยังให้อำนาจและบังคับแก่ข้าราชการท้องถิ่นที่ถูกปลดออก จากการละเมิดกฎหมายให้คงรักษาการในตำแหน่งจนกว่าตัวแทนจากเมืองหลวงจะมาถึง
สำหรับรายได้สูงสุดสำหรับกอฎีคือ 150 อักแจ /วัน ขณะที่ขั้นต่ำได้รับต่ำกว่า 40 อักแจ/วัน มีรายได้เพิ่มจากค่าธรรมเนียมที่เก็บในศาล จากผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีต่างๆ หรือจากเอกสารต่างๆ ที่กอฎีออกให้เพื่อรับรองการเกิด การแต่งงาน การตาย และอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้รับเงินจำนวนมากจากค่าปรับ จากการให้คำแนะนำแก่ผู้บริหารองค์กรท้องถิ่น กอฎียังมีสิทธิแต่งตั้งครู และลูกจ้างใน mekteb ท้องถิ่นและ medrese เชื่อกันว่ากอฎียังมีสิทธิ์ที่จะคืนค่าธรรมเนียมผู้เข้าสอบแก่ผู้ที่ประสบความสำเร็จ
กอฎีในเมืองหลวง (อิสตันบูล) ได้รับรายได้ 500 อักแจ/วัน กอฎีอิสตันบูลมีหน้าที่ควบคุมการตรวจตรา การตลาด และควบคุมราคาในเมือง ควบคุมการสร้างอาคาร การดูแลการจำหน่ายน้ำ และการสุขาภิบาล งานดังกล่าวมีผู้ช่วยคือ “ihtisap aga” (รับผิดชอบเรื่องตลาด) , “mimarbasi” (งานอาคารและถนนหนทาง) , “subasi” (ตำรวจเทศบาล) และ “capluk” (รับผิดชอบงานทำความสะอาดถนนและงานในลักษณะเดียวกัน)
ตำแหน่งผู้พิพากษาของประเทศในระดับเขตจัดอยู่ใน “mevleviyet” และผู้ที่อยู่ในตำแหน่งเรียกว่า “มอลลา (molla)” การแต่งตั้งผู้พิพากษาสูงสุดของประเทศให้มีขึ้นภายใน 1 ปี การแต่งตั้งกอฎีให้มีขึ้นภายในเวลา 20 เดือน นับจากตำแหน่งดังกล่าวว่างลง
ตามปกติแล้วช่วงที่แต่งตั้งกอฎียังมีตำแหน่งอื่นๆ อีกได้แก่ ผู้สมัครที่เหมาะสม เช่น กอฎี “toprak” ทำหน้าที่เป็นตัวแทนกอฎีไปยังที่ต่างๆ ในเขตของกอฎี กอฎีนี้จะไปตรวจสอบการกระทำอันมิชอบตามกฎหมาย ผิดระเบียบต่างๆ ของท้องถิ่น กอฎีนี้ยังถูกส่งเป็นผู้สังเกตการณ์ความไม่ยุติธรรม รับฟังข้อร้องทุกข์ และกอฎีอาจส่งข้อร้องทุกข์ดังกล่าวไปยังกอฎีทหาร (kazaskar) หรือสภาสูงสุด (imperial council) กอฎีในระดับสูงได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้พิพากษาทางทหาร เพื่อทำหน้าที่กอฎีทหารในขณะที่กอฎีทหารไม่อยู่
3) มุฟตี (mufti)
มุฟตี เป็นผู้ประกาศคำฟัตวาหรือข้อวินิจฉัย เพื่อตอบปัญหาที่กอฎีเสนอให้ หรือเจ้าหน้าที่เป็นผู้เสนอ หรือแม้แต่สามัญชนที่ต้องการอำนาจทางกฎหมายมาสนับสนุนตนเองในกรณีใดกรณีหนึ่ง มุฟตีไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือทำการพิพากษาเป็นการส่วนตัว มุฟตีต้องปัญหาบนรากฐานที่มีอยู่ในประมวลกฎหมาย มุฟตีแต่ละคนสามารถหาคำตอบในสิ่งที่ตนต้องการโดยเลือกประมวลกฎหมายที่เหมาะสมกับสถานการณ์ กอฎีหรือผู้อื่นที่หาคำตอบในเรื่องใด หากอ้างถึงมุฟตีถือว่าได้เปรียบที่สุดในการสนับสนุนการตัดสินใจของตน
อุลามาอหลายท่านมีคุณวุฒิที่จะประกาศตนเองให้เป็นมุฟตีได้ หากมีผู้คนต้องการคำฟัตวา (ตัดสินวินิจฉัย) ในสมัยสุลต่านสุไลมานที่ 1 พระองค์พยายามตั้งองค์กรมุฟตีขึ้นโดยมีสำนักงานผู้นำมุสลิมในราชอาณาจักร (ไซคุลอิสลาม)
ไซคุลอิสลาม (ผู้นำมุสลิม) เป็นผู้แต่งตั้งมุฟตีทางการในทุกเมืองใหญ่ๆ ทำหน้าที่วินิจฉัยปัญหาต่างๆ เมื่อกอฎีหรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นและเจ้าหน้าที่แคว้นต่างๆ ต้องการ มุฟตีนี้เป็น อุลามาอที่ได้ศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย มุฟตีส่วนมากก็ยึดแนวทางฮานาฟีเป็นหลัก เพราะฮานาฟีเป็นนิกายทางการ แต่มุฟตีในอียิปต์ ซีเรีย มาดีนะห์ และมักกะห์ ได้รับการแต่งตั้งโดยการขอร้องของข้าหลวงหรือผู้นำศาสนา มุฟตีไม่มีเงินเดือนประจำ มีรายได้จากค่าธรรมเนียมในการประกาศคำวินิจฉัย บางครั้งจะเรียกเก็บจากทรัพย์สินส่วนบุคคลที่ขอคำวินิจฉัย (ฟัตวา) สำหรับมุฟตีที่รัฐบาลแต่งตั้งจะได้รับค่าธรรมเนียมเป็นการถาวรจากพระคลังและยังได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำปหน่งอื่นๆ อีก เป็นผู้บริหารองค์กรต่างๆ และเป็นผู้ไกล่เกลี่ยมรดก นอกจากนี้ยังมีมุฟตีเอกชน ประกาศคำวินิจฉัยเป็นรายบุคคล บางครั้งคำวินิจฉัยขัดแย้งกับมุฟตีทางการ
4) อุลามาอชั้นผู้น้อย (lesser ulama)
อุลามาอชั้นผู้น้อยเป็นชนชั้นปกครองเพราะเป็นผู้ที่มีความรู้ ทำหน้าที่เป็นอิหม่ามตามมัสยิดต่างๆ เป็นผู้นำละหมาดให้ประชาชนทั่วไป และทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของมัสยิด เป็นคอเต็บ อ่านคุฏบะฮ์ในวันศุกร์ อุลามาอบางคนทำหน้าที่เป็นผู้นำศาสนา แนะนำ อบรมประชาชน ตามภารกิจและหน้าที่ของศาสนา บางครั้งก็เป็นนักเผยแผ่ศาสนาในมัสยิดทุกวันสุดสัปดาห์ อุลามาอบางคนเป็นมุอัซซินทำหน้าที่เชิญชวนชาวมุสลิมให้ทำการละหมาดตามเวลาที่กำหนด อุลามาอดังกล่าวได้รับการแต่งตั้งและค่าใช้จ่ายจากผู้ดูแลเงินบริจาค ซึ่งมีขึ้นเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่างๆ หรือจากบุคคลที่ขอความช่วยเหลือ ในระยะหลังได้พัฒนาเป็นผู้บริจาค ซึ่งทำให้เขาได้รับรายได้มากขึ้น และมีอำนาจทั้งด้านการศึกษาและกฎหมายมากกว่าแต่ก่อนอ้างจากเอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักการบริหารในอิสลาม3 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น