วันพุธที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ทฤษฎีสันติภาพ


ทฤษฎีสันติภาพ
เรียบเรียงโดย อ.กริยา  หลังปูเต๊ะ

·      มีการศึกษาทฤษฎีสันติภาพไว้อย่างกว้างขวางโดยมีความพยายามที่จะอธิบายความหมายและตีความคำว่า สันติภาพในแง่มุมที่ต่างกันออกไป
·      แง่มุมของสันติภาพที่น่าสนใจแง่มุมหนึ่งก็คือสันติภาพในมุมมองของสังคมศาสตร์ที่มีการวิเคราะห์สภาพของสันติภาพและแนวทางในการทำให้บุคคลในสังคมได้ตระหนักถึงแนวทางและเป้าหมายร่วมกันอันจะนำไปสู่สังคมที่มีความสงบสุขและสันตินั้นย่อมจะเป็นวิธีที่พึงประสงค์
·      ในมุมมองของนักสังคมวิทยาแล้วก็คือการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์และธรรมชาติของสังคมมนุษย์ที่มีความโน้มเอียงไปในการเกื้อกูลกัน พึ่งพากัน พร้อมที่จะยอมรับซึ่งกันและกัน รวมถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์โดยปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบ ซึ่งเราจะเรียกลักษณะของสังคมดังที่กล่าวมานี้ว่าเป็นสังคมที่มีความสันติสุข

ปรัชญาสันติภาพในโลกตะวันตก
·      นักวิชาการชาวตะวันตกหลายท่านพยายามจะอธิบายปรัชญาของทฤษฎีสันติภาพ
·      ศาสตราจารย์ วิเซนต์ มาติเนส กูสมัน (Vicent Martinez Guzman) ผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็นนักปรัชญาสันติภาพที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในโลกแห่งวิชาสันติศึกษาได้มองสันติภาพในเชิงสร้างสรรค์
·      ศาสตราจารย์ วิเซนต์ มาติเนส กูสมัน ได้บรรยายเกี่ยวกับปรัชญาสันติภาพไว้ในหนังสือ ปรัชญาเพื่อการสร้างสันติภาพ (ที่หลากหลาย) (Filosofia para hacer las paces) โดยมีการวิเคราะห์เกี่ยวกับสันติภาพและการพัฒนา โดยเนื้อหานั้นจะรวมถึงวิวัฒนาการของสันติศึกษาในโลกตะวันตก ไปจนถึงการเชื่อมโยงการใช้สันติวิธีและการพัฒนาสังคมในบริบทของโลกที่พัฒนาแล้ว กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา
·      กูสมันให้นิยามของสันติภาพไว้ว่า สันติภาพนั้นเกิดจากการตื่นตัวของผู้คนในแต่ละชุมชนที่จะสร้างสังคมแห่งสันติสุขในบริบทของแต่ละชุมชนเอง ในภาษาสเปน คำว่า สันติภาพ (Paz) สามารถใช้ในรูปของพหูพจน์ได้ เพราะฉะนั้นความหมาย ของคำว่า “Paces” นั้นก็คือความหลากหลายของสันติภาพ สันติภาพในหลากหลายบริบท และรูปแบบของสันติภาพที่สร้างขึ้นและดำรงอยู่โดยผู้คนในแต่ละกลุ่มชน
·      กูสมัน ได้เชื่อมโยงแนวคิดของสันติศึกษาในแง่มุมและมุมมองต่างๆเข้าด้วยกันที่เชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่จะสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางสังคมอันสันติสุขตั้งแต่ชุมชนขนาดเล็กจนถึงระดับชุมชนโลก
·      หลักความคิดทางสันติศึกษาเหล่านี้ตั้งอยู่บนรากฐานที่ว่ามนุษย์นั้นมีศักยภาพในการสร้างสรรค์และทำลาย ทฤษฎีและแนวทางการปฏิบัติทางสันติวิธีที่สร้างสรรค์จะช่วยนำพาให้มนุษย์ คิดและทำในสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว และคุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะส่งผลให้มีวิวัฒนาการของสันติวัฒนธรรมขึ้นในสังคมมนุษย์
·      กูสมันได้รับอิทธิพลทางความคิดด้านปรัชญาสันติภาพ สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์จากแนวคิดและปรัชญาของ เอมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant) ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นนักปรัชญาที่นิยามความหมายของสันติภาพในเชิงสร้างสรรค์เป็นคนแรกๆ
·      ทฤษฏีสำคัญของนักปรัชญาท่านนี้ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างถึงในงานเขียนของ กูสมัน คือ สันติภาพอันสถาพร (Perpetual Peace) และ เป้าประสงค์แห่งกฎที่เป็นสากล” (Cosmopolitan intent) ซึ่งแนวปรัชญาทั้งสองนี้ได้ให้นิยามของความสามารถของมนุษย์ในการที่จะทำการใดๆที่จะเป็นคุณแก่ผู้อื่น กิจกรรมใดๆที่ทำโดยบุคคลใดๆก็ตามต่างก็อยู่ภายใต้เจตจำนง และผลแห่งการกระทำที่ผู้อื่นนั้นรับรู้ เข้าใจ และนับว่ากิจกรรมนั้นๆเป็นคุณด้วยจึงจะนับว่ากิจกรรมนั้นๆเป็นคุณธรรม
·         ในงานเขียนของกูสมัน เขาอ้างอิงนักสันติศึกษาที่โด่งดังท่านหนึ่ง คือ โจฮัน เกาล์ตุง (Johan Galtung) ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบิดาของสันติศึกษายุคใหม่

ประวัติความเป็นมาของการศึกษาปรัชญาสันติภาพในโลกตะวันตก
การศึกษาปรัชญาสันติภาพร่วมสมัยในโลกตะวันตกนั้นสามารถแบ่งได้เป็นระยะๆดังต่อไปนี้
ระยะที่หนึ่ง คือการศึกษาสันติภาพเชิงลบและการศึกษาสันติภาพในแง่มุมของการศึกษาสงครามใน
·      ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสภาวะที่ผู้คนต้องเจ็บป่วย ล้มตายเนื่องจากผลของสงคราม
·      มีความสอดคล้องกับห้วงเวลาที่โลกตะวันตกเพิ่งจะผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาหมาดๆ ชาวยุโรปได้รับความทุกข์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามครั้งนั้นอย่างมาก
ดังนั้นการศึกษาทฤษฎีสันติภาพในยุคนั้นจึงเน้นไปที่การศึกษาสงครามและความเกี่ยวเนื่องของสงครามต่อสภาวะที่ก็ให้เกิดความไม่มีสันติภาพ การศึกษาช่วงนี้มีประเด็นทางความคิดที่น่าสนใจอยู่หลายประการ ดังนี้
1.           การวิเคราะห์เชิงคุณภาพของ (สภาวะ) สงคราม ซึ่งมีการศึกษาถึงสาเหตุของการทำสงครามโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์ โดยการวิเคราะห์นำมาซึ่งความเห็นที่ว่าสงครามก่อกำเนิดจากการที่ มนุษย์มอง พวกเดียวกันเป็น เรา และมองผู้อื่นเป็น เขา ดังนั้นสงครามก่อกำเนิดโดยความมุ่งหมายที่จะขจัดความเป็นอื่นออกไปจากกลุ่มสังคมที่แสดงความเป็น เรา ตามหลักทฤษฎี “Polemology” –  (สงครามต่อต้านผู้ที่แปลกแยกจากเรา) นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ก็คือ Kenneth Boulding, Herbert Kelman, และ นักคณิตศาสตร์ที่โด่งดัง Anatol Rapoport ผู้คิดค้น ทฤษฎีเกมส์ ทฤษฎีโครงข่ายสังคม และอีกหลายทฤษฎี และท่านผู้นี้ได้มีบทบาทที่สำคัญมากในการลดอาวุธนิวเคลียร์ในเวลาต่อมา
2.           ความพยายามที่จะอธิบายทฤษฎีสันติภาพตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจในแบบตะวันตกที่ให้ความสำคัญกับ ความทันสมัย (แบบตะวันตก) แบบอย่างตะวันตก ชาวผิวขาว และ ความเป็นชาย
3.           ความต่างระหว่างสงครามต่อ เขา (Polemos) และสงครามภายใน “Stasis” (civil war) – no war is civil (Guzman, 2001: 62 – 63) นักคิดหลายท่านในยุคนี้เห็นว่า ถ้าต้องการสันติภาพ(เรา)ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสงคราม (ในสุภาษิตไทยมีคำกล่าวว่า แม้หวังตั้งสงบจงเตรียมรบให้พร้อมพรั่ง ซึ่งน่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดแบบเดียวกัน)
4.           ในยุคนี้คำจำกัดความของ สันติภาพ ก็คือ สถานะที่ปราศจากสงคราม
5.           และในขณะเดียวกันความขัดแย้งถูกมองว่าเป็นเงื่อนไขด้านลบ ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วย วิธีการแก้ไขความขัดแย้ง (Conflict resolution)
6.           การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็ถูกจำกัดภายใต้ทัศนคติ ในแบบตะวันตก สมัยใหม่ คนขาว และเพศชาย (ซึ่งเป็นผลสะท้อนความคิดในช่วงที่ชาวตะวันตกเป็นเจ้าอาณานิคม)

ระยะที่สอง คือ ระยะที่สันติภาพถูกนำมารวมไว้กับการพัฒนา ในยุคนี้กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสันติภาพนั้นดำเนินไปพร้อมกับการพัฒนาในด้านต่างๆ การศึกษาเรื่องสันติภาพ และทฤษฎีที่เกี่ยวกับสันติภาพก็มีการพัฒนาขึ้นและมีการอธิบายแนวคิดต่างๆที่สลับซับซ้อนมากขึ้น
ในยุคนี้การศึกษาปรัชญาสันติภาพได้รับการยอมรับมากขึ้นดังนี้
·      มีการจัดตั้งสถาบันที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยสันติภาพ ความรุนแรง ความขัดแย้ง และสันติวิธีขึ้นมากมายในทวีปยุโรป อเมริกา และประเทศญี่ปุ่น
·      ในปี ค.ศ. 1959 โจฮาน เกาว์ตุง ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยสันติภาพขึ้น ณ. กรุงออสโลว ประเทศนอร์เวย์ นักวิชาการท่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของสันติวิธีร่วมสมัย และเป็นผู้ที่ให้คำจำกัดความของ สันติภาพเชิงบวก สันติภาพเชิงลบ ความรุนแรงทางโครงสร้างและวัฒนธรรม ฯลฯ
·      การศึกษาค้นคว้าและงานวิจัยในยุคนี้มักจะตั้งอยู่บนฐานความคิดในเรื่องสันติภาพเชิงบวกและการวิเคราะห์ความรุนแรงทางโครงสร้างรวมทั้งการสร้างความยุติธรรมและความเท่าเทียมกัน นอกเหนือไปกว่านั้นด้วยแนวคิดที่ว่าการพัฒนา (สังคม) ซึ่งเป็นรากฐานของการตอบสนองความต้องการพื้นฐานนั้นเป็นเครื่องมือที่จะเสริมสร้างศักยภาพของมนุษย์ หลายองค์กร (หรือรัฐ) จึงริเริ่มโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาต่างๆ

ระยะที่สาม  คือระยะที่ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการลดกำลังอาวุธ ให้ความสำคัญกับเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ และการดูแลผู้อพยพ  ในระยะนี้มีพัฒนาการดังนี้
·      สันติศึกษาไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดไปจากยุคก่อนหน้ามากนัก
·      กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสันติภาพและสันติวิธีจะมุ่งเน้นไปที่การร่วมมือกัน (ทางสังคม) ในความพยายามที่จะกดดันให้ประเทศ (รัฐ) ต่างๆทั่วโลกได้ตระหนักถึงภยันตรายของการแข่งขันกันสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์ และการรณรงค์การลดอาวุธประจำการเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างรัฐ ในบรรดาอาวุธที่อยู่ในเป้าหมายการจำกัดจำนวนที่สำคัญก็คืออาวุธนิวเคลียร์
·      ในยุคนี้นักสันติวิธียังให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวที่จะสร้างความยอมรับ (ที่เท่าเทียมกัน) ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย (เพศที่สามยังไม่ใช่ประเด็นหลัก) มีการเรียกร้องให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเห็นความสำคัญและปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยมาตรฐานเดียวกันกับผู้ชาย
·      นอกเหนือไปกว่านั้นด้วยเหตุการณ์ของสงครามกลางเมืองในหลายพื้นที่นักสันติวิธีในยุคนี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลผู้อพยพอันเนื่องมาจากภัยสงคราม นอกเหนือไปกว่านั้นในจำนวนผู้อพยพเหล่านี้ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อพยพด้วยเหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามมาตรฐานการดำรงชีวิตของคนกลุ่มนี้ก็ต่ำกว่าระดับที่ยอมรับได้

ระยะที่จะก้าวไปสู่อนาคต อาจจะกล่าวได้ว่าระยะนี้ก็คือเวลาตั้งแต่ปัจจุบันนี้เป็นต้นไป สิ่งที่นักสันติศึกษาพยายามที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นในสังคมก็คือ
·      วัฒนธรรมและวิธีการที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพ
·      ต้องการให้การศึกษาทางสันติภาพ ขยายขอบเขตุให้กว้างขวางขึ้นเพื่อสังคมในวงกว้างจะเข้าใจว่าสันติภาพ (รวมทั้งสันติวิธี ความขัดแย้ง และความรุนแรง) ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวหรือเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะเข้าใจ
·      นักสันติศึกษาต้องแสดงให้เห็นว่า แนวคิดเกี่ยวกับสันติภาพ สันติวิธี ความขัดแย้ง และความรุนแรงนั้นเป็นเรื่องที่สามารถจะเข้าใจและวิเคราะห์ได้โดยอาศัยความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์

ระยะปัจจุบัน การพัฒนาของสันติศึกษาดังนี้
·      ได้มีการขยายกรอบการศึกษาไปครอบคลุมแนวความคิดที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งในแง่มุมของสังคมวิทยาแล้วความเชื่อมโยงกันของแต่ละอนุภาคของสังคมล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญควรค่าแก่การศึกษาทั้งสิ้น
·      แนวคิดของสันติศึกษาในยุคนี้เริ่มจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน ซึ่งในทางสัญลักษณ์แล้วเปรียบได้กับการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก ในช่วงของการเปลี่ยนถ่ายทางสังคมครั้งนี้ กูสมันได้เสนอแนวคิดที่ว่าสังคมโลกนั้นมีวิวัฒนาการมาจากวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นความรู้ของสงครามและความรุนแรงมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว น่าจะถึงเวลาที่มนุษยชาติร่วมกันสร้างวัฒนธรรมที่จะนำมนุษย์ไปสู่สังคมที่มีความสันติสุข และสังคมสันติสุขก็จะสร้างสันติวัฒนธรรมต่อเนื่องกันไป
·      วัฒนธรรมสันติและสันติวัฒนธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้จากปัจจัยที่สำคัญหลายประการ ดังที่จะนำเสนอพอสังเขปดังต่อไปนี้
1.           การมีทัศนคติและมาตรฐานร่วมกันในเรื่องของความยุติธรรม ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยพื้นฐานที่มีมาในอดีตแต่ต้องเพิ่มขอบข่ายให้รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ใช่วัตถุ เช่น เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ อิสรภาพ เสรีภาพ ฯลฯ
2.           ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าความจำเป็นพื้นฐานที่กล่าวไปนั้นจะได้รับคำจำกัดความโดยที่สังคมกำหนดให้เป็นพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานหรือเป็นการสร้างสรรค์ในแนวคิดที่ใช้ร่วมกันได้
3.           ต้องให้ความสำคัญกับความหมายของความยุติธรรม ว่าความยุติธรรมนั้นจะเป็นการปรับเปลี่ยนของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจต่อปัจจัยพื้นฐานนั้นๆ ในกรณีนี้(ความยุติธรรม)ก็จะมีความก้าวหน้าและเคลื่อนไหวเสมอ หรือถ้ามองความยุติธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งความยุติธรรมในรูปแบบนี้ก็จะเป็นอุปสงค์ของการหาข้ออ้างของการไม่ยอมรับ (กลุ่มที่ไม่ใช่พวก) การจำกัดขอบเขต หรือการหาประโยชน์จากผู้อื่น ซึ่งความยุติธรรมประเภทหลังนี้จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการฉวยโอกาสได้
4.           กรอบความคิดแนวใหม่อาจจะต้องอยู่นอกกรอบเดิมหรือการเติมเต็มกรอบเดิมอาจจะต้องคิดนอกกรอบ

ปรัชญาสันติภาพและสันติวัฒนธรรมควรจะประกอบไปด้วยแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้คือ
1.           โลกที่คำนึงความมั่นคงของสังคมมนุษย์โดยรวมซึ่งความมั่นคงของสังคมโลกที่ว่านี้จะอยู่เหนือความสำคัญของความเป็นชาติ ซึ่งการดำรงอยู่ในลักษณะเช่นนี้ เอมมานูเอล คานท์ได้อธิบายไว้ว่ามนุษย์แต่ละคนมีความสามารถในการเปิดใจให้รับรู้และเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของกันและกันได้ แต่สังคมมนุษย์ไม่ควรยอมรับการถูกบังคับให้ยอมรับ
2.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีสิทธินี้จะได้รับการคุ้มครองในฐานะผู้ที่ได้รับการต้อนรับมากกว่าการถูกรอนสิทธิในฐานะที่เป็น ผู้อื่น
3.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก อันจะนำมาซึ่งการกระทำต่อกันในสถานะที่เป็นมนุษย์ดุจเดียวกัน ซึ่งเอมมานุเอล คานท์ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่ามนุษย์มีศักยภาพในการสร้างความรุนแรงเฉกเช่นเดียวกับความสามารถในการสร้างสันติภาพ แต่เขาเชื่อว่าถ้าเราปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำดีกับเรา เราก็ย่อมจะทำดีกับผู้อื่นดุจเดียวกัน
4.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก ซึ่งจะนำมาซึ่งความชอบธรรมที่จะเป็นในสิ่งที่แตกต่าง หรืออยู่ในวัฒนธรรมที่ต่างไป
5.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก มีอำนาจเหนือกว่าความสัมพันธ์ของโลกาภิวัตน์ การครอบครองทรัพย์สินและการแลกเปลี่ยน เพราะกิจกรรมที่เป็นความสัมพันธ์ภายใต้ยุกโลกาภิวัฒน์นั้นไม่ได้แปลกแยกสิทธิของมนุษย์แต่ละคนบนพื้นโลกเพราะมนุษย์แต่ละคนก็ยังมีสิทธิ์ต่อผิวโลกในความเท่าเทียมกัน
6.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก ก็คือสิทธิ์ที่จะได้รับการต้อนรับอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกใบนี้เท่าๆกันเพราะฉะนั้นไม่ว่ามนุษย์ผู้นี้จะอยู่ที่ใดก็ตามย่อมจะดำรงค์ไว้ซึ่งสิทธิ์นั้นโดยสมบูรณ์
7.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก ควรที่จะปกปักรักษามนุษย์จากความรุนแรง
8.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก ย่อมจะทำให้มนุษย์ยอมรับในสิทธิของผู้อื่น และพร้อมที่จะเข้าใจสังคมและวิถีการปกครองของผู้คนในสังคมที่แตกต่างจากที่ตนอยู่ ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบเราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเราดีกว่าคนอื่นหรือสังคมเราดีกว่าสังคมอื่น
9.           สิทธิในการเป็นประชากรโลก ย่อมรักษาไว้ด้วยสิทธิ์ที่จะได้รับและเข้าถึงการพัฒนา และการปกครองโดยประชาชนในรูปแบบของประชาธิปไตยที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด การที่มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างต่อเนื่องจะเป็นเครื่องมือที่จะให้สังคมมนุษย์ได้เริ่มที่จะก้าวเข้าสู่การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้

เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

สันติภาพในท่ามกลางความหลากหลายจากมุมมองในศาสนาพุทธ


สันติภาพในท่ามกลางความหลากหลายจากมุมมองในศาสนาพุทธ
ปาริชาติ สุวรณบุบผา
·       ความรู้เรื่องสันติภาพในพุทธศาสนา ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาที่มีพระเจ้า เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมนุษย์เป็นผู้ทำเอง
·       จุดหมายสูงสุดของศาสนาพุทธก็คือปฏิบัติมรรคมีองค์แปดให้ถึงพระนิพพาน
·       พุทธศาสนาได้พูดไว้อย่างตรงไปตรงมาถึงเรื่องการทำสันติภาพภายในของมนุษย์แต่ละคนให้บรรลุถึงจุดหมายสูงสุด
·       พุทธศาสนาพูดอย่างชัดเจนว่าคำสอนคือมรรคมีองค์แปด ก็คือว่าทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ไม่ทำบาป กระทำความดี
·       เวลาจะนำเอาคำสอนของศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันก็ใช้ในลักษณะที่ดูบริบทปัจจุบัน ว่าบริบทปัจจุบันเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้มีความขัดแย้งในทุกที่ แต่เวลาพูดถึงความขัดแย้งก็จะบอกอีกว่าเกิดมาเป็นมนุษย์มีความเครียดมีความขัดแย้งได้ สิ่งที่จะต้องระวังอย่างเดียวก็คือว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นความรุนแรง
·       ความขัดแย้งในบ้านหรือความขัดแย้งในที่ทำงาน หรือทางการเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่ประเด็นก็คือว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นความรุนแรง
·       ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นคนทั้งหลายมักจะกลัวว่าความรุนแรงนั้นจะต้องต่อยกันตีกันหรือว่าใช้ระเบิดปรมาณู อันนั้นเป็นความรุนแรงประเภทหนึ่งเรียกว่าความรุนแรงทางกายภาพ แต่ว่ามันยังมีความรุนแรงอีกประเภทหนึ่งเป็นความรุนแรงที่คนส่วนใหญ่จะไม่พูดถึงก็คือความรุนแรงที่เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง
·       ความรุนแรงเชิงโครงสร้างนี้เป็นความรุนแรงที่เกิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง มีสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง และทางวัฒนธรรมและใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมนั้นกดขี่ข่มเหงคนอีกกลุ่มหนึ่ง
·       เมื่อใดก็ตามที่มีความความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม เมื่อนั้นก็จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ตรงนั้นเป็นความรุนแรงที่สืบเนื่องอีกอันที่เราบอกว่าเป็นความรุนแรงที่มีกลุ่มคนที่ต้องการจะปลดปล่อยความคิดของตัวเองเป็นความรุนแรงที่เรียกว่า liberative violent
·       เราจะต้องระวังว่าจะไม่ให้เกิดความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่เป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม ถ้าเมื่อไหร่มีความรุนแรงเชิงโครงสร้างก็จะไม่มีสันติภาพที่เราแสวงหาที่เราต้องการ
·       อีกอย่างหนึ่งก็คือความรุนแรงประเภทที่เราเรียกว่าความรุนแรงเพื่อการปลดปล่อยความทุกข์ ถ้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ว่าใครก็ตามได้รับความไม่ยุติธรรม วันหนึ่งเขาก็จะทนไม่ได้แล้วก็จะก่อความรุนแรงอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งความรุนแรงแบบนั้นเราไม่ต้องการจะได้เห็นแต่ว่าเป็นความรุนแรงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
·       การแก้ไขความรุนแรงนั้นจะต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
·       เป็นหน้าที่ของชาวพุทธทั้งหลายที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่บอกว่ายึดถือพรหมวิหาร ๔ มีความเมตตา ความเมตตาก็คือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่เลือกว่าเขาเป็นใคร เป็นหญิงหรือเป็นชาย ไม่เลือกเชื้อชาติ ไม่เลือกสถานภาพทางสังคม เมื่อใดก็ตามเห็นเขามีความทุกข์ ก็จะต้องช่วยเขา โดยใช้ความกรุณาช่วยเขาปลดปล่อยจากความทุกข์ ถ้าปล่อยให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถูกเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาก็จะกลายเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่งที่เราไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น ซึ่งก็คือความรุนแรงประเภทที่ ๓ คือ liberative violent
·       ความรุนแรงอีกประเภทหนึ่งที่มักลืมไป ก็คือความรุนแรงในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม พุทธศาสนาสอนไว้ชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกี่ยวพันซึ่งกันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบาท เพราะฉะนั้นมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
·       ความรุนแรงทางธรรมชาติถ้าเราวิเคราะห์ลงไปแล้วก็คือเงื่อนไขปัจจัยที่มนุษย์และสิ่งแวดล้อมอยู่ด้วยกันอย่างไม่สมดุลย์
·       พุทธศาสนาได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่มีความยุติธรรม ไม่ได้บอกว่ามนุษย์นั้นเป็นนายเหนือธรรมชาติ แต่เรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ คือกฎที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ธรรมชาติก็อยู่ใต้กฎอันนี้ เราจึงสอนให้ไม่เอาเปรียบธรรมชาติ แต่มนุษย์ไม่ได้ปฏิบัติตามกฏหรือหลักศาสนาอย่างนี้ทั้งหมดก็จะรู้สึกไม่รับผิดชอบต่อธรรมชาติ ก็จะใช้ธรรมชาติอย่างไม่มีความรับผิดชอบ
·       สันติภาพคืออะไร พุทธศาสนาได้พูดเรื่องสันติภาพอย่างชัดเจน ทั้งคำสอนและการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุสันติภาพในใจ
·       เราเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้แยกส่วน เรายังอยู่ในสังคมเพราะฉะนั้นเราก็ต้องสนใจบริบททางสังคม บริบททางสังคมมนุษย์กำลังอยู่ในภาวะที่มีความรุนแรงหลายรูปแบบ คือความรุนแรงเชิงกายภาพ ที่มนุษย์ใช้กำลังใช้อาวุธประหัตประหารกัน ความรุนแรงประเภทที่ ๒ คือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่มีการเอาเปรียบทางสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ความรุนแรงประเภทที่ ๓ คือความรุนแรงที่เรียกว่า liberative violent ความรุนแรงที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับความยุติธรรม แล้ววันหนึ่งเขาทนไม่ไหวก็ต้องลุกฮือขึ้นมา
·       ความหลากหลายในโลกจริงๆแล้วก็สอดคล้องกับคำสอนทางศาสนาที่เรียกว่าปฏิจสมุปบาทซึ่งคือคำสอนที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน ถ้าสิ่งนี้ก็ขึ้นสิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น ถ้าไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นก็จำกัดเงื่อนไขปัจจัยอันนี้  สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
·       การที่เราเข้าใจคำสอนเรื่องปฏิจสมุปบาทว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยซึ่งกันและกันนี่ก็คือการที่เรายอมรับอัตลักษณ์ของแต่ละสิ่งว่ามีความเป็นตัวของตัวเอง มีการปกครองตัวเองได้ แต่ในขณะเดียวกันความเป็นปัจเจกที่เดี่ยวๆนี่ก็มีความเป็นสังคมด้วย เพราะฉะนั้นในปัจเจกก็อยู่ในสังคมด้วย และในสังคมก็มีความเป็นปัจเจก
·       ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับความจริงว่าจะต้องเผยแพร่วัฒนธรรม ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าความแตกต่างนั้นจะเป็นเรื่องภาษา เรื่องศาสนา เชื้อชาติ เพราะว่าถ้าไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย มันจะมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะแต่ละคนก็จะบอกว่าของที่ตัวเองเป็นนั้นดีที่สุด เช่น ภาษาไทยดีที่สุด ชาติไทยดีที่สุด ศาสนาพุทธดีที่สุด ทุกคนก็จะบอกว่าของที่ตัวเองเป็นนั้นดีที่สุด
·       คำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องปฏิจสมุปบาทนั้นเราก็จะบอกว่าสิ่งที่เป็นของเราดีที่สุดนั้นก็ไม่เป็นไร แต่ว่าเราจะต้องใจกว้างพอที่จะยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
·       จะต้องใจกว้างยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนอื่นแต่ขณะเดียวกันก็บอกว่าจริงๆแล้วศาสนาพุทธก็บอกว่าคำสอนของพุทธดีที่สุดเหมือนกัน เช่นคำสอนที่เรียกว่าเอกยานมัคโค ศาสนาพุทธนั้นเป็นทางสายเดียว ทางสายเอกที่นำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นเป็นทางสายเดียว ศาสนาอื่นไม่ใช่ ลักษณะนี้ที่เรียกว่า exclusivism ศาสนาคริสต์เขาก็บอกว่า outside the church that is no salvation นอกพระศาสนาจักรไม่มีทางรอด ก็หมายความว่าคนที่เป็นพุทธเป็นอิสลามก็ต้องตกนรกหมด เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกศาสนาจะบอกว่าของตัวเองดีที่สุด แต่จะทำอย่างไรจึงจะอยู่ในท่ามกลางความหลากหลาย ทางศาสนานี้ ทางเชื้อชาตินี้ และอยู่อย่างทำให้ความสันติเกิดขึ้น

เอกสารประกอบการสอนวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลาม โดย อาจารย์กริยา หลังปูเต๊ะ

วันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2555

บ่อน้ำซัมซัม


บ่อน้ำซัมซัม
        บ่อน้ำซัมซัมเป็นบ่อน้ำที่มีความลึกราว 30 เมตร มีเส้นผ่าศูนย์กลางระหว่าง 1.08 และ 2.66 เมตร ที่มีตาน้ำไหลแรง มีระดับน้ำ 3.23 เมตรใต้ระดับพื้นดิน ได้มีการทดลองดูดน้ำซัมซัมออกจากบ่อด้วยปั๊มน้ำที่มีความแรง 8000 ลิตรต่อวินาที เป็นเวลามากกว่า 24 ชม. ปรากฏว่าน้ำได้ลดลง 12.72 ใต้ระดับพื้นดิน เมื่อเพิ่มเวลาดูดน้ำออกอีกไปอีก ปรากฏว่าน้ำในบ่อลดเหลือ 13.39 เมตรใต้ระดับพื้นดิน และก็ไม่ลดอีกเลย แม้จะดูดน้ำออกตลอดเวลาก็ตาม เมื่อปั๊มน้ำหยุดทำงาน น้ำในบ่อก็เอ่อขึ้นสู่ระดับปกติภายในเวลาเพียงแค่ 11 นาทีเท่านั้น ซ๊่งหมายความว่า รอบ ๆ ข้างบ่อมีชั้นหินอุ้มน้ำ (aquifer) ที่มีน้ำสำรองมากมายไม่มีวันเหือดแห้ง ไม่เคยปรากฏในประวัติศาสตร์ว่าบ่อน้ำซัมซัมเคยแห้งเลย และเพียงพอสำหรับผู้คนเป็นล้านที่มาดื่มและอาบ ไม่ว่าจะเป็นฤดูไหนก็ตาม

          บ่อน้ำซัมซัมในปัจจุบันถูกปิดไว้ในห้องกระจกที่ห้องใต้ดิน ไม่ให้ผู้คนทั่วไปเข้าไปตักน้ำเหมือนแต่ก่อน น้ำซัมซัมถูกสูบออกมานอกมัสญิด เพื่อให้ผู้คนได้บรรจุภาชนะพากลับไปตามที่ต้องการ เจ้าหน้าที่จะบรรจุน้ำในคูลเลอร์ให้ผู้คนในอัลมัสญิด อัลฮะรอมได้ดื่มตลอดเวลา นอกจากนี้ยังขนส่งไปยังอัลมัสยิด อัลนะบะวีย์ ในมะดีนะหฺอีกด้วย
          น้ำซัมซัมเป็นน้ำแร่ ที่ประกอบด้วยแคลเซียม แมกเนเซียม คลอไรด์ ซัลเฟต ไนเตรท โซเดียม และโปตัสเซียม มีค่า pH เท่ากับ 7.8 - 8 ค่อนค่างจะเป็นเบส รสชาติของซัมซัมเหมือนน้ำผสมเกลืออ่อน ๆ
                
ประวัติของบ่อน้ำซัมซัม
           เมื่อนางฮาญัร ภรรยาคนที่สองของนบีอิบรอฮีมถูกทอดทิ้งที่กลางทะเลทราย ณ บัยตุลลอหฺ ท่ามกลางที่ราบต่ำแห่งมักกะหฺ ซึ่งไม่มีต้นไม้และน้ำ นางจึงทิ้งอิสมาอีล บุตรชายที่กำลังกระหายน้ำบนพื้นดิน ข้างหน้าบัยตุลลอหฺ ที่สร้างโดยอาดัม และวิ่งเสาะหาน้ำระหว่างเนินเขาศอฟาและมัรวะหฺ อิสมาอีลที่กำลังกระหายน้ำอย่างจัดนั้นก็ร้องไห้ เท้าก็ดันพื้นจนเป็นร่อง สักครู่ก็มีตาน้ำไหลออกมา เมื่อนางฮาญัรกลับมาดูลูก ก็เห็นว่าบุตรชายตัวน้อย ๆ ของตนกำลังก่อทรายกั้นน้ำไม่ให้ไหลไปทางอื่น ปากก็กล่าวว่า ซัมซัม ซัมซัม แปลว่า ล้อม ๆ ล้อม ๆ ตั้งแต่นั้นมาก็มีชาวอาหรับทราบข่าวของตาน้ำ ที่กลายเป็นบ่อน้ำที่มีน้ำมหาศาล ก็พาปักหลักที่นั่นจนแผ่นดินแห่งบักกะหฺ (ชื่อเดิมของมักกะหฺ)ได้กลายเป็นเมือง และเป็นศูนย์กลางของอารเบีย
         ต่อมาตระกูลญุรหุมแห่งเผ่าเกาะฮ์ฏอนถูกเผ่าคุซาอะหฺขับไล่ออกจากมักกะหฺ พวกเขาจึงเก็บทรัพย์สิน อีกทั้งยังทำลายบ่อน้ำซัมซัมด้วยการเอาดินถมปิดบ่อ ก่อนที่จะอพยพออกจากเมืองมักกะหฺ เมื่อบ่อน้ำถูกดินกลบมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ผู้คนก็ไม่รู้สถานที่อันเป็นที่ตั้งของบ่อน้ำซัมซัมอีกต่อไป ครั้งหนึ่งอับดุลมุฏฏอลิบ ปู่ของนบีมุฮัมมัด ฝันเห็นตำแหน่งของบ่อน้ำซัมซัม จึงชวนลูกชายชื่อฮาริษไปขุด ก็พบกับตาน้ำซัมซัม อับดุลมุฏฏอลิบจึงได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าของบ่อน้ำซัมซัมตั้งแต่นั้นมา

อ้างจาก http://www.islammore.com/main/content.php?page=sub&category=10&id=458 สืบค้นวันที่ 17-6-2555

วันศุกร์ที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สุลตานมูฮัมหมัด อัลฟาติฮ

ดาวโหลดงานวิจัยได้ที่http://www.4shared.com/zip/lh8AcW0N/_online.html?

คอลีฟะฮ อุมัร บินอับดุลอาซิซ

ดาวโหลดงานวิจัยได้ที่http://www.4shared.com/zip/Wd2ocYXh/__online.html?

คอลีฟะฮ ฮารูน อัรรอชีด

ดาวโหลดงานวิจัยได้ที่http://www.4shared.com/zip/ypnxC3tE/__online.html?

สงครามครูเสด

ดาวโหลดไฟล์ได้ที่ http://www.4shared.com/zip/S--nCGrU/_online.html?

ชีวประวัติศอลาฮุดดีน อัลอัยยูบี

ดาวโหลดไฟล์งานวิจัยได้ที่ http://www.4shared.com/zip/sviC8jvg/__online.html?