ทฤษฎีสันติภาพ
เรียบเรียงโดย
อ.กริยา หลังปูเต๊ะ
·
มีการศึกษาทฤษฎีสันติภาพไว้อย่างกว้างขวางโดยมีความพยายามที่จะอธิบายความหมายและตีความคำว่า
“สันติภาพ”ในแง่มุมที่ต่างกันออกไป
·
แง่มุมของสันติภาพที่น่าสนใจแง่มุมหนึ่งก็คือสันติภาพในมุมมองของสังคมศาสตร์ที่มีการวิเคราะห์สภาพของสันติภาพและแนวทางในการทำให้บุคคลในสังคมได้ตระหนักถึงแนวทางและเป้าหมายร่วมกันอันจะนำไปสู่สังคมที่มีความสงบสุขและสันตินั้นย่อมจะเป็นวิธีที่พึงประสงค์
·
ในมุมมองของนักสังคมวิทยาแล้วก็คือการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์และธรรมชาติของสังคมมนุษย์ที่มีความโน้มเอียงไปในการเกื้อกูลกัน
พึ่งพากัน พร้อมที่จะยอมรับซึ่งกันและกัน
รวมถึงการอยู่ร่วมกันของมนุษย์โดยปราศจากความรุนแรงในทุกรูปแบบ
ซึ่งเราจะเรียกลักษณะของสังคมดังที่กล่าวมานี้ว่าเป็นสังคมที่มีความสันติสุข
ปรัชญาสันติภาพในโลกตะวันตก
·
นักวิชาการชาวตะวันตกหลายท่านพยายามจะอธิบายปรัชญาของทฤษฎีสันติภาพ
·
ศาสตราจารย์ วิเซนต์ มาติเนส กูสมัน (Vicent Martinez
Guzman) ผู้ซึ่งนับได้ว่าเป็นนักปรัชญาสันติภาพที่มีชื่อเสียงท่านหนึ่งในโลกแห่งวิชาสันติศึกษาได้มองสันติภาพในเชิงสร้างสรรค์
·
ศาสตราจารย์ วิเซนต์ มาติเนส กูสมัน ได้บรรยายเกี่ยวกับปรัชญาสันติภาพไว้ในหนังสือ
“ปรัชญาเพื่อการสร้างสันติภาพ (ที่หลากหลาย)” (Filosofia
para hacer las paces)
โดยมีการวิเคราะห์เกี่ยวกับสันติภาพและการพัฒนา
โดยเนื้อหานั้นจะรวมถึงวิวัฒนาการของสันติศึกษาในโลกตะวันตก
ไปจนถึงการเชื่อมโยงการใช้สันติวิธีและการพัฒนาสังคมในบริบทของโลกที่พัฒนาแล้ว
กำลังพัฒนา และด้อยพัฒนา
·
กูสมันให้นิยามของสันติภาพไว้ว่า “สันติภาพนั้นเกิดจากการตื่นตัวของผู้คนในแต่ละชุมชนที่จะสร้างสังคมแห่งสันติสุขในบริบทของแต่ละชุมชนเอง” ในภาษาสเปน คำว่า สันติภาพ (Paz) สามารถใช้ในรูปของพหูพจน์ได้
เพราะฉะนั้นความหมาย ของคำว่า “Paces” นั้นก็คือความหลากหลายของสันติภาพ
สันติภาพในหลากหลายบริบท
และรูปแบบของสันติภาพที่สร้างขึ้นและดำรงอยู่โดยผู้คนในแต่ละกลุ่มชน
·
กูสมัน
ได้เชื่อมโยงแนวคิดของสันติศึกษาในแง่มุมและมุมมองต่างๆเข้าด้วยกันที่เชื่อว่าจะเป็นแนวทางที่จะสร้างสรรค์สภาพแวดล้อมทางสังคมอันสันติสุขตั้งแต่ชุมชนขนาดเล็กจนถึงระดับชุมชนโลก
·
หลักความคิดทางสันติศึกษาเหล่านี้ตั้งอยู่บนรากฐานที่ว่ามนุษย์นั้นมีศักยภาพในการสร้างสรรค์และทำลาย
ทฤษฎีและแนวทางการปฏิบัติทางสันติวิธีที่สร้างสรรค์จะช่วยนำพาให้มนุษย์ คิดและทำในสิ่งที่เป็นคุณประโยชน์ต่อตนเองและสิ่งแวดล้อมรอบตัว
และคุณประโยชน์ที่เกิดขึ้นนั้นก็จะส่งผลให้มีวิวัฒนาการของสันติวัฒนธรรมขึ้นในสังคมมนุษย์
·
กูสมันได้รับอิทธิพลทางความคิดด้านปรัชญาสันติภาพ
สิทธิมนุษยชน และการพัฒนาศักยภาพของมนุษย์จากแนวคิดและปรัชญาของ เอมมานูเอล คานท์ (Immanuel Kant)
ผู้ซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นนักปรัชญาที่นิยามความหมายของสันติภาพในเชิงสร้างสรรค์เป็นคนแรกๆ
·
ทฤษฏีสำคัญของนักปรัชญาท่านนี้ที่ถูกหยิบยกขึ้นมาอ้างถึงในงานเขียนของ
กูสมัน คือ “สันติภาพอันสถาพร” (Perpetual Peace) และ “เป้าประสงค์แห่งกฎที่เป็นสากล”
(Cosmopolitan intent) ซึ่งแนวปรัชญาทั้งสองนี้ได้ให้นิยามของความสามารถของมนุษย์ในการที่จะทำการใดๆที่จะเป็นคุณแก่ผู้อื่น
กิจกรรมใดๆที่ทำโดยบุคคลใดๆก็ตามต่างก็อยู่ภายใต้เจตจำนง
และผลแห่งการกระทำที่ผู้อื่นนั้นรับรู้ เข้าใจ และนับว่ากิจกรรมนั้นๆเป็นคุณด้วยจึงจะนับว่ากิจกรรมนั้นๆเป็นคุณธรรม
·
ในงานเขียนของกูสมัน
เขาอ้างอิงนักสันติศึกษาที่โด่งดังท่านหนึ่ง คือ โจฮัน เกาล์ตุง (Johan Galtung) ผู้ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นบิดาของสันติศึกษายุคใหม่
ประวัติความเป็นมาของการศึกษาปรัชญาสันติภาพในโลกตะวันตก
การศึกษาปรัชญาสันติภาพร่วมสมัยในโลกตะวันตกนั้นสามารถแบ่งได้เป็นระยะๆดังต่อไปนี้
ระยะที่หนึ่ง
คือการศึกษาสันติภาพเชิงลบและการศึกษาสันติภาพในแง่มุมของการศึกษาสงครามใน
·
ความพยายามที่จะหลีกเลี่ยงสภาวะที่ผู้คนต้องเจ็บป่วย
ล้มตายเนื่องจากผลของสงคราม
·
มีความสอดคล้องกับห้วงเวลาที่โลกตะวันตกเพิ่งจะผ่านสงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาหมาดๆ
ชาวยุโรปได้รับความทุกข์อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากสงครามครั้งนั้นอย่างมาก
ดังนั้นการศึกษาทฤษฎีสันติภาพในยุคนั้นจึงเน้นไปที่การศึกษาสงครามและความเกี่ยวเนื่องของสงครามต่อสภาวะที่ก็ให้เกิดความไม่มีสันติภาพ
การศึกษาช่วงนี้มีประเด็นทางความคิดที่น่าสนใจอยู่หลายประการ ดังนี้
1.
การวิเคราะห์เชิงคุณภาพของ (สภาวะ) สงคราม
ซึ่งมีการศึกษาถึงสาเหตุของการทำสงครามโดยอิงหลักวิทยาศาสตร์
โดยการวิเคราะห์นำมาซึ่งความเห็นที่ว่าสงครามก่อกำเนิดจากการที่ มนุษย์มอง
พวกเดียวกันเป็น “เรา” และมองผู้อื่นเป็น “เขา”
ดังนั้นสงครามก่อกำเนิดโดยความมุ่งหมายที่จะขจัดความเป็นอื่นออกไปจากกลุ่มสังคมที่แสดงความเป็น
“เรา” –
ตามหลักทฤษฎี “Polemology” – (สงครามต่อต้านผู้ที่แปลกแยกจากเรา)
นักวิชาการที่มีชื่อเสียงในยุคนี้ก็คือ Kenneth Boulding, Herbert Kelman, และ นักคณิตศาสตร์ที่โด่งดัง Anatol Rapoport ผู้คิดค้น
ทฤษฎีเกมส์ ทฤษฎีโครงข่ายสังคม และอีกหลายทฤษฎี
และท่านผู้นี้ได้มีบทบาทที่สำคัญมากในการลดอาวุธนิวเคลียร์ในเวลาต่อมา
2.
ความพยายามที่จะอธิบายทฤษฎีสันติภาพตั้งอยู่บนพื้นฐานความเข้าใจในแบบตะวันตกที่ให้ความสำคัญกับ
“ความทันสมัย” (แบบตะวันตก) “แบบอย่างตะวันตก” “ชาวผิวขาว” และ “ความเป็นชาย”
3.
ความต่างระหว่างสงครามต่อ “เขา” (Polemos) และสงครามภายใน “Stasis” (civil
war) – no war is civil (Guzman, 2001: 62 – 63) นักคิดหลายท่านในยุคนี้เห็นว่า
ถ้าต้องการสันติภาพ(เรา)ต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับสงคราม
(ในสุภาษิตไทยมีคำกล่าวว่า “แม้หวังตั้งสงบจงเตรียมรบให้พร้อมพรั่ง” ซึ่งน่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานความคิดแบบเดียวกัน)
4.
ในยุคนี้คำจำกัดความของ “สันติภาพ” ก็คือ สถานะที่ปราศจากสงคราม
5.
และในขณะเดียวกันความขัดแย้งถูกมองว่าเป็นเงื่อนไขด้านลบ
ซึ่งสามารถแก้ไขได้ด้วย “วิธีการแก้ไขความขัดแย้ง” (Conflict
resolution)
6.
การช่วยเหลือทางมนุษยธรรมก็ถูกจำกัดภายใต้ทัศนคติ
ในแบบตะวันตก สมัยใหม่ คนขาว และเพศชาย
(ซึ่งเป็นผลสะท้อนความคิดในช่วงที่ชาวตะวันตกเป็นเจ้าอาณานิคม)
ระยะที่สอง คือ
ระยะที่สันติภาพถูกนำมารวมไว้กับการพัฒนา ในยุคนี้กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสันติภาพนั้นดำเนินไปพร้อมกับการพัฒนาในด้านต่างๆ
การศึกษาเรื่องสันติภาพ
และทฤษฎีที่เกี่ยวกับสันติภาพก็มีการพัฒนาขึ้นและมีการอธิบายแนวคิดต่างๆที่สลับซับซ้อนมากขึ้น
ในยุคนี้การศึกษาปรัชญาสันติภาพได้รับการยอมรับมากขึ้นดังนี้
·
มีการจัดตั้งสถาบันที่เกี่ยวกับการศึกษาวิจัยสันติภาพ
ความรุนแรง ความขัดแย้ง และสันติวิธีขึ้นมากมายในทวีปยุโรป อเมริกา
และประเทศญี่ปุ่น
·
ในปี ค.ศ. 1959 โจฮาน เกาว์ตุง
ได้ก่อตั้งสถาบันวิจัยสันติภาพขึ้น ณ. กรุงออสโลว ประเทศนอร์เวย์
นักวิชาการท่านนี้ได้ชื่อว่าเป็นบิดาของสันติวิธีร่วมสมัย
และเป็นผู้ที่ให้คำจำกัดความของ สันติภาพเชิงบวก สันติภาพเชิงลบ
ความรุนแรงทางโครงสร้างและวัฒนธรรม ฯลฯ
·
การศึกษาค้นคว้าและงานวิจัยในยุคนี้มักจะตั้งอยู่บนฐานความคิดในเรื่องสันติภาพเชิงบวกและการวิเคราะห์ความรุนแรงทางโครงสร้างรวมทั้งการสร้างความยุติธรรมและความเท่าเทียมกัน
นอกเหนือไปกว่านั้นด้วยแนวคิดที่ว่าการพัฒนา (สังคม)
ซึ่งเป็นรากฐานของการตอบสนองความต้องการพื้นฐานนั้นเป็นเครื่องมือที่จะเสริมสร้างศักยภาพของมนุษย์
หลายองค์กร (หรือรัฐ) จึงริเริ่มโครงการที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนาต่างๆ
ระยะที่สาม คือระยะที่ผู้คนเริ่มให้ความสำคัญกับการลดกำลังอาวุธ
ให้ความสำคัญกับเรื่องความเท่าเทียมกันทางเพศ และการดูแลผู้อพยพ ในระยะนี้มีพัฒนาการดังนี้
·
สันติศึกษาไม่มีการเปลี่ยนแปลงแนวคิดไปจากยุคก่อนหน้ามากนัก
·
กิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับสันติภาพและสันติวิธีจะมุ่งเน้นไปที่การร่วมมือกัน
(ทางสังคม) ในความพยายามที่จะกดดันให้ประเทศ (รัฐ)
ต่างๆทั่วโลกได้ตระหนักถึงภยันตรายของการแข่งขันกันสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์
และการรณรงค์การลดอาวุธประจำการเพื่อลดความตึงเครียดระหว่างรัฐ
ในบรรดาอาวุธที่อยู่ในเป้าหมายการจำกัดจำนวนที่สำคัญก็คืออาวุธนิวเคลียร์
·
ในยุคนี้นักสันติวิธียังให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวที่จะสร้างความยอมรับ
(ที่เท่าเทียมกัน) ระหว่างเพศหญิงและเพศชาย (เพศที่สามยังไม่ใช่ประเด็นหลัก)
มีการเรียกร้องให้องค์กรทั้งภาครัฐและเอกชนเห็นความสำคัญและปฏิบัติต่อผู้หญิงด้วยมาตรฐานเดียวกันกับผู้ชาย
·
นอกเหนือไปกว่านั้นด้วยเหตุการณ์ของสงครามกลางเมืองในหลายพื้นที่นักสันติวิธีในยุคนี้ก็ได้ให้ความสำคัญกับกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับการดูแลผู้อพยพอันเนื่องมาจากภัยสงคราม
นอกเหนือไปกว่านั้นในจำนวนผู้อพยพเหล่านี้ก็มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อพยพด้วยเหตุผลทางการเมืองและเหตุผลทางเศรษฐกิจและความเป็นอยู่ซึ่งไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตามมาตรฐานการดำรงชีวิตของคนกลุ่มนี้ก็ต่ำกว่าระดับที่ยอมรับได้
ระยะที่จะก้าวไปสู่อนาคต อาจจะกล่าวได้ว่าระยะนี้ก็คือเวลาตั้งแต่ปัจจุบันนี้เป็นต้นไป
สิ่งที่นักสันติศึกษาพยายามที่จะผลักดันให้เกิดขึ้นในสังคมก็คือ
·
วัฒนธรรมและวิธีการที่จะนำไปสู่การสร้างสันติภาพ
·
ต้องการให้การศึกษาทางสันติภาพ
ขยายขอบเขตุให้กว้างขวางขึ้นเพื่อสังคมในวงกว้างจะเข้าใจว่าสันติภาพ
(รวมทั้งสันติวิธี ความขัดแย้ง และความรุนแรง)
ไม่ใช่เรื่องที่ไกลตัวหรือเป็นเรื่องที่มีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะเข้าใจ
·
นักสันติศึกษาต้องแสดงให้เห็นว่า
แนวคิดเกี่ยวกับสันติภาพ สันติวิธี ความขัดแย้ง
และความรุนแรงนั้นเป็นเรื่องที่สามารถจะเข้าใจและวิเคราะห์ได้โดยอาศัยความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์
ระยะปัจจุบัน การพัฒนาของสันติศึกษาดังนี้
·
ได้มีการขยายกรอบการศึกษาไปครอบคลุมแนวความคิดที่หลากหลายมากขึ้นซึ่งในแง่มุมของสังคมวิทยาแล้วความเชื่อมโยงกันของแต่ละอนุภาคของสังคมล้วนเป็นสิ่งที่สำคัญควรค่าแก่การศึกษาทั้งสิ้น
·
แนวคิดของสันติศึกษาในยุคนี้เริ่มจากการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลิน
ซึ่งในทางสัญลักษณ์แล้วเปรียบได้กับการล่มสลายของลัทธิคอมมิวนิสต์ในยุโรปตะวันออก
ในช่วงของการเปลี่ยนถ่ายทางสังคมครั้งนี้
กูสมันได้เสนอแนวคิดที่ว่าสังคมโลกนั้นมีวิวัฒนาการมาจากวัฒนธรรมที่ตั้งอยู่บนพื้นความรู้ของสงครามและความรุนแรงมาเป็นระยะเวลานานมากแล้ว
น่าจะถึงเวลาที่มนุษยชาติร่วมกันสร้างวัฒนธรรมที่จะนำมนุษย์ไปสู่สังคมที่มีความสันติสุข
และสังคมสันติสุขก็จะสร้างสันติวัฒนธรรมต่อเนื่องกันไป
·
วัฒนธรรมสันติและสันติวัฒนธรรมนั้นจะเกิดขึ้นได้จากปัจจัยที่สำคัญหลายประการ
ดังที่จะนำเสนอพอสังเขปดังต่อไปนี้
1.
การมีทัศนคติและมาตรฐานร่วมกันในเรื่องของความยุติธรรม
ซึ่งมาตรฐานเหล่านี้ต้องประกอบไปด้วยปัจจัยพื้นฐานที่มีมาในอดีตแต่ต้องเพิ่มขอบข่ายให้รวมถึงปัจจัยพื้นฐานที่ไม่ใช่วัตถุ
เช่น เอกลักษณ์ อัตลักษณ์ อิสรภาพ เสรีภาพ ฯลฯ
2.
ต้องตอบคำถามให้ได้ว่าความจำเป็นพื้นฐานที่กล่าวไปนั้นจะได้รับคำจำกัดความโดยที่สังคมกำหนดให้เป็นพื้นฐานที่เป็นมาตรฐานหรือเป็นการสร้างสรรค์ในแนวคิดที่ใช้ร่วมกันได้
3.
ต้องให้ความสำคัญกับความหมายของความยุติธรรม
ว่าความยุติธรรมนั้นจะเป็นการปรับเปลี่ยนของการปฏิสัมพันธ์ทางสังคมที่ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความพึงพอใจต่อปัจจัยพื้นฐานนั้นๆ
ในกรณีนี้(ความยุติธรรม)ก็จะมีความก้าวหน้าและเคลื่อนไหวเสมอ
หรือถ้ามองความยุติธรรมในอีกรูปแบบหนึ่ง
ซึ่งความยุติธรรมในรูปแบบนี้ก็จะเป็นอุปสงค์ของการหาข้ออ้างของการไม่ยอมรับ (กลุ่มที่ไม่ใช่พวก)
การจำกัดขอบเขต หรือการหาประโยชน์จากผู้อื่น
ซึ่งความยุติธรรมประเภทหลังนี้จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการฉวยโอกาสได้
4.
กรอบความคิดแนวใหม่อาจจะต้องอยู่นอกกรอบเดิมหรือการเติมเต็มกรอบเดิมอาจจะต้องคิดนอกกรอบ
ปรัชญาสันติภาพและสันติวัฒนธรรมควรจะประกอบไปด้วยแนวคิดที่ให้ความสำคัญกับสิ่งเหล่านี้คือ
1.
โลกที่คำนึงความมั่นคงของสังคมมนุษย์โดยรวมซึ่งความมั่นคงของสังคมโลกที่ว่านี้จะอยู่เหนือความสำคัญของความเป็นชาติ
ซึ่งการดำรงอยู่ในลักษณะเช่นนี้ เอมมานูเอล
คานท์ได้อธิบายไว้ว่ามนุษย์แต่ละคนมีความสามารถในการเปิดใจให้รับรู้และเข้าใจในความแตกต่างหลากหลายของกันและกันได้
แต่สังคมมนุษย์ไม่ควรยอมรับการถูกบังคับให้ยอมรับ
2.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
ซึ่งจะทำให้ผู้ที่มีสิทธินี้จะได้รับการคุ้มครองในฐานะผู้ที่ได้รับการต้อนรับมากกว่าการถูกรอนสิทธิในฐานะที่เป็น
“ผู้อื่น”
3.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
อันจะนำมาซึ่งการกระทำต่อกันในสถานะที่เป็นมนุษย์ดุจเดียวกัน ซึ่งเอมมานุเอล
คานท์ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่ามนุษย์มีศักยภาพในการสร้างความรุนแรงเฉกเช่นเดียวกับความสามารถในการสร้างสันติภาพ
แต่เขาเชื่อว่าถ้าเราปรารถนาจะให้ผู้อื่นทำดีกับเรา เราก็ย่อมจะทำดีกับผู้อื่นดุจเดียวกัน
4.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
ซึ่งจะนำมาซึ่งความชอบธรรมที่จะเป็นในสิ่งที่แตกต่าง หรืออยู่ในวัฒนธรรมที่ต่างไป
5.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
มีอำนาจเหนือกว่าความสัมพันธ์ของโลกาภิวัตน์ การครอบครองทรัพย์สินและการแลกเปลี่ยน
เพราะกิจกรรมที่เป็นความสัมพันธ์ภายใต้ยุกโลกาภิวัฒน์นั้นไม่ได้แปลกแยกสิทธิของมนุษย์แต่ละคนบนพื้นโลกเพราะมนุษย์แต่ละคนก็ยังมีสิทธิ์ต่อผิวโลกในความเท่าเทียมกัน
6.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
ก็คือสิทธิ์ที่จะได้รับการต้อนรับอย่างเท่าเทียมกันไม่ว่าจะอยู่ที่ใดก็ตาม
เนื่องด้วยความเชื่อที่ว่ามนุษย์แต่ละคนนั้นมีสิทธิ์ที่จะอยู่บนโลกใบนี้เท่าๆกันเพราะฉะนั้นไม่ว่ามนุษย์ผู้นี้จะอยู่ที่ใดก็ตามย่อมจะดำรงค์ไว้ซึ่งสิทธิ์นั้นโดยสมบูรณ์
7.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
ควรที่จะปกปักรักษามนุษย์จากความรุนแรง
8.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
ย่อมจะทำให้มนุษย์ยอมรับในสิทธิของผู้อื่น
และพร้อมที่จะเข้าใจสังคมและวิถีการปกครองของผู้คนในสังคมที่แตกต่างจากที่ตนอยู่
ด้วยเหตุที่มนุษย์ไม่สมบูรณ์แบบเราจึงไม่สามารถบอกได้ว่าเราดีกว่าคนอื่นหรือสังคมเราดีกว่าสังคมอื่น
9.
สิทธิในการเป็นประชากรโลก
ย่อมรักษาไว้ด้วยสิทธิ์ที่จะได้รับและเข้าถึงการพัฒนา
และการปกครองโดยประชาชนในรูปแบบของประชาธิปไตยที่มีความสมบูรณ์มากที่สุด
การที่มนุษย์สามารถพัฒนาศักยภาพของตนได้อย่างต่อเนื่องจะเป็นเครื่องมือที่จะให้สังคมมนุษย์ได้เริ่มที่จะก้าวเข้าสู่การปกครองที่เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริงได้
เอกสารประกอบการสอนรายวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา