สันติภาพในท่ามกลางความหลากหลายจากมุมมองในศาสนาพุทธ
ปาริชาติ สุวรณบุบผา
·
ความรู้เรื่องสันติภาพในพุทธศาสนา
ศาสนาพุทธไม่ได้เป็นศาสนาที่มีพระเจ้า เพราะฉะนั้นทุกสิ่งทุกอย่างมนุษย์เป็นผู้ทำเอง
·
จุดหมายสูงสุดของศาสนาพุทธก็คือปฏิบัติมรรคมีองค์แปดให้ถึงพระนิพพาน
·
พุทธศาสนาได้พูดไว้อย่างตรงไปตรงมาถึงเรื่องการทำสันติภาพภายในของมนุษย์แต่ละคนให้บรรลุถึงจุดหมายสูงสุด
·
พุทธศาสนาพูดอย่างชัดเจนว่าคำสอนคือมรรคมีองค์แปด
ก็คือว่าทำจิตใจให้ผ่องแผ้ว ไม่ทำบาป กระทำความดี
·
เวลาจะนำเอาคำสอนของศาสนามาใช้ในชีวิตประจำวันก็ใช้ในลักษณะที่ดูบริบทปัจจุบัน
ว่าบริบทปัจจุบันเป็นอย่างไร ปัจจุบันนี้มีความขัดแย้งในทุกที่ แต่เวลาพูดถึงความขัดแย้งก็จะบอกอีกว่าเกิดมาเป็นมนุษย์มีความเครียดมีความขัดแย้งได้
สิ่งที่จะต้องระวังอย่างเดียวก็คือว่าทำอย่างไรที่จะไม่ให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นความรุนแรง
·
ความขัดแย้งในบ้านหรือความขัดแย้งในที่ทำงาน
หรือทางการเมืองก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาแต่ประเด็นก็คือว่าจะทำอย่างไรไม่ให้ความขัดแย้งนั้นกลายเป็นความรุนแรง
·
ในสถานการณ์ปัจจุบันนั้นคนทั้งหลายมักจะกลัวว่าความรุนแรงนั้นจะต้องต่อยกันตีกันหรือว่าใช้ระเบิดปรมาณู
อันนั้นเป็นความรุนแรงประเภทหนึ่งเรียกว่าความรุนแรงทางกายภาพ แต่ว่ามันยังมีความรุนแรงอีกประเภทหนึ่งเป็นความรุนแรงที่คนส่วนใหญ่จะไม่พูดถึงก็คือความรุนแรงที่เป็นความรุนแรงเชิงโครงสร้าง
·
ความรุนแรงเชิงโครงสร้างนี้เป็นความรุนแรงที่เกิดจากคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
มีสิทธิพิเศษทางเศรษฐกิจ ทางการเมือง และทางวัฒนธรรมและใช้ความได้เปรียบทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรมนั้นกดขี่ข่มเหงคนอีกกลุ่มหนึ่ง
·
เมื่อใดก็ตามที่มีความความอยุติธรรมทางเศรษฐกิจการเมืองและวัฒนธรรม
เมื่อนั้นก็จะมีความรุนแรงเกิดขึ้น ตรงนั้นเป็นความรุนแรงที่สืบเนื่องอีกอันที่เราบอกว่าเป็นความรุนแรงที่มีกลุ่มคนที่ต้องการจะปลดปล่อยความคิดของตัวเองเป็นความรุนแรงที่เรียกว่า
liberative violent
·
เราจะต้องระวังว่าจะไม่ให้เกิดความรุนแรงเชิงโครงสร้างที่เป็นเรื่องความไม่ยุติธรรมทางเศรษฐกิจ
สังคมและวัฒนธรรม ถ้าเมื่อไหร่มีความรุนแรงเชิงโครงสร้างก็จะไม่มีสันติภาพที่เราแสวงหาที่เราต้องการ
·
อีกอย่างหนึ่งก็คือความรุนแรงประเภทที่เราเรียกว่าความรุนแรงเพื่อการปลดปล่อยความทุกข์
ถ้าคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ว่าใครก็ตามได้รับความไม่ยุติธรรม วันหนึ่งเขาก็จะทนไม่ได้แล้วก็จะก่อความรุนแรงอีกประเภทหนึ่ง
ซึ่งความรุนแรงแบบนั้นเราไม่ต้องการจะได้เห็นแต่ว่าเป็นความรุนแรงที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้
·
การแก้ไขความรุนแรงนั้นจะต้องสร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น
·
เป็นหน้าที่ของชาวพุทธทั้งหลายที่ว่าเมื่อใดก็ตามที่บอกว่ายึดถือพรหมวิหาร
๔ มีความเมตตา ความเมตตาก็คือความรักต่อเพื่อนมนุษย์ ไม่เลือกว่าเขาเป็นใคร เป็นหญิงหรือเป็นชาย
ไม่เลือกเชื้อชาติ ไม่เลือกสถานภาพทางสังคม เมื่อใดก็ตามเห็นเขามีความทุกข์ ก็จะต้องช่วยเขา
โดยใช้ความกรุณาช่วยเขาปลดปล่อยจากความทุกข์ ถ้าปล่อยให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งถูกเอาเปรียบอยู่ตลอดเวลาก็จะกลายเป็นความรุนแรงอีกรูปแบบหนึ่งที่เราไม่ปรารถนาจะให้เกิดขึ้น
ซึ่งก็คือความรุนแรงประเภทที่ ๓ คือ
liberative violent
·
ความรุนแรงอีกประเภทหนึ่งที่มักลืมไป
ก็คือความรุนแรงในเรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม พุทธศาสนาสอนไว้ชัดเจนว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องเกี่ยวพันซึ่งกันและกันตามหลักปฏิจจสมุปบาท
เพราะฉะนั้นมนุษย์กับสิ่งแวดล้อมก็ต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน
·
ความรุนแรงทางธรรมชาติถ้าเราวิเคราะห์ลงไปแล้วก็คือเงื่อนไขปัจจัยที่มนุษย์และสิ่งแวดล้อมอยู่ด้วยกันอย่างไม่สมดุลย์
·
พุทธศาสนาได้ชื่อว่าเป็นศาสนาที่มีความยุติธรรม
ไม่ได้บอกว่ามนุษย์นั้นเป็นนายเหนือธรรมชาติ แต่เรามองว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นอยู่ใต้กฎของธรรมชาติ
คือกฎที่เกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไป ธรรมชาติก็อยู่ใต้กฎอันนี้ เราจึงสอนให้ไม่เอาเปรียบธรรมชาติ
แต่มนุษย์ไม่ได้ปฏิบัติตามกฏหรือหลักศาสนาอย่างนี้ทั้งหมดก็จะรู้สึกไม่รับผิดชอบต่อธรรมชาติ
ก็จะใช้ธรรมชาติอย่างไม่มีความรับผิดชอบ
·
สันติภาพคืออะไร
พุทธศาสนาได้พูดเรื่องสันติภาพอย่างชัดเจน ทั้งคำสอนและการปฏิบัติเพื่อให้บรรลุสันติภาพในใจ
·
เราเป็นมนุษย์ที่ไม่ได้แยกส่วน
เรายังอยู่ในสังคมเพราะฉะนั้นเราก็ต้องสนใจบริบททางสังคม บริบททางสังคมมนุษย์กำลังอยู่ในภาวะที่มีความรุนแรงหลายรูปแบบ
คือความรุนแรงเชิงกายภาพ ที่มนุษย์ใช้กำลังใช้อาวุธประหัตประหารกัน ความรุนแรงประเภทที่
๒ คือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่มีการเอาเปรียบทางสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ ความรุนแรงประเภทที่
๓ คือความรุนแรงที่เรียกว่า liberative violent
ความรุนแรงที่คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งไม่ได้รับความยุติธรรม แล้ววันหนึ่งเขาทนไม่ไหวก็ต้องลุกฮือขึ้นมา
·
ความหลากหลายในโลกจริงๆแล้วก็สอดคล้องกับคำสอนทางศาสนาที่เรียกว่าปฏิจสมุปบาทซึ่งคือคำสอนที่ว่าทุกสิ่งทุกอย่างนั้นมีความเกี่ยวเนื่องซึ่งกันและกัน
ถ้าสิ่งนี้ก็ขึ้นสิ่งนั้นก็จะเกิดขึ้น ถ้าไม่ต้องการให้สิ่งนี้เกิดขึ้นก็จำกัดเงื่อนไขปัจจัยอันนี้
สิ่งนี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
·
การที่เราเข้าใจคำสอนเรื่องปฏิจสมุปบาทว่าทุกสิ่งทุกอย่างต้องอาศัยซึ่งกันและกันนี่ก็คือการที่เรายอมรับอัตลักษณ์ของแต่ละสิ่งว่ามีความเป็นตัวของตัวเอง
มีการปกครองตัวเองได้ แต่ในขณะเดียวกันความเป็นปัจเจกที่เดี่ยวๆนี่ก็มีความเป็นสังคมด้วย
เพราะฉะนั้นในปัจเจกก็อยู่ในสังคมด้วย และในสังคมก็มีความเป็นปัจเจก
·
ในปัจจุบันนี้ต้องยอมรับความจริงว่าจะต้องเผยแพร่วัฒนธรรม
ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย ไม่ว่าความแตกต่างนั้นจะเป็นเรื่องภาษา เรื่องศาสนา เชื้อชาติ
เพราะว่าถ้าไม่ยอมรับความแตกต่างหลากหลาย มันจะมีปัญหาเกิดขึ้นเพราะแต่ละคนก็จะบอกว่าของที่ตัวเองเป็นนั้นดีที่สุด
เช่น ภาษาไทยดีที่สุด ชาติไทยดีที่สุด ศาสนาพุทธดีที่สุด ทุกคนก็จะบอกว่าของที่ตัวเองเป็นนั้นดีที่สุด
·
คำสอนของพระพุทธศาสนาในเรื่องปฏิจสมุปบาทนั้นเราก็จะบอกว่าสิ่งที่เป็นของเราดีที่สุดนั้นก็ไม่เป็นไร
แต่ว่าเราจะต้องใจกว้างพอที่จะยอมรับความแตกต่างหลากหลาย
·
จะต้องใจกว้างยอมรับความแตกต่างหลากหลายของคนอื่นแต่ขณะเดียวกันก็บอกว่าจริงๆแล้วศาสนาพุทธก็บอกว่าคำสอนของพุทธดีที่สุดเหมือนกัน
เช่นคำสอนที่เรียกว่าเอกยานมัคโค ศาสนาพุทธนั้นเป็นทางสายเดียว ทางสายเอกที่นำไปสู่ความเป็นพระอรหันต์
ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่ามีแต่ศาสนาพุทธเท่านั้นเป็นทางสายเดียว ศาสนาอื่นไม่ใช่ ลักษณะนี้ที่เรียกว่า exclusivism ศาสนาคริสต์เขาก็บอกว่า outside
the church that is no salvation นอกพระศาสนาจักรไม่มีทางรอด ก็หมายความว่าคนที่เป็นพุทธเป็นอิสลามก็ต้องตกนรกหมด
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่ทุกศาสนาจะบอกว่าของตัวเองดีที่สุด แต่จะทำอย่างไรจึงจะอยู่ในท่ามกลางความหลากหลาย
ทางศาสนานี้ ทางเชื้อชาตินี้ และอยู่อย่างทำให้ความสันติเกิดขึ้น
เอกสารประกอบการสอนวิชาสันติศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลาม โดย อาจารย์กริยา หลังปูเต๊ะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น