ระบบข้าหลวง (อัล อีมาเราะฮฺ) ในประวัติศาสตร์อิสลาม
เรียบเรียงโดย :นาง รอสนา หลังปูเต๊ะ
นักศึกษาปริญญาโท
สาขาวิชาประวัติศาสตร์และอารยธรรมอิสลาม
มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
คำนำ
หลังจากที่ท่านนบีมุฮัมมัด(ซ.ล.)
ได้สถาปนานครมาดีนะห์เป็นรัฐแห่งแรกในอิสลาม
ท่านได้ขึ้นดำรงตำแหน่งเป็นผู้นำในการปกครอง
มีระบบการปกครองแบบเรียบง่ายในนครเล็กๆที่ชื่อ มาดีนะห์ เมื่อดินแดนอิสลามได้แผ่ขยายกว้างขึ้น การปกครองของท่านนบี(ซ.ล.)ไม่ครอบคลุมในดินแดนที่กว้างไกลออกไป
ท่านได้เล็งเห็นถึงความจำเป็นที่จะต้องมีผู้ปกครองนครแทนท่านในดินแดนเหล่านั้น ซึ่งผู้ปครองเหล่านั้นได้ถูกขนานนามว่า อะมีร
หรือ วะลีย์ มีอำนาจการปกครองในดินแดนที่ได้รับมอบหมาย (إمارة)ในสมัยของท่านท่านได้แต่งตั้งบรรดาหลายท่านด้วยกัน
อาทิเช่น อะบูมูซา อัล-อัชอารีย์ ยะอลา บิน
อุมัยยะห์ เป็นต้น
ต่อมาระบบการปกครองได้มีการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบมากขึ้นในยุคต่อๆมา
เนื่องจากอาณาจักรอิสลามได้ขยายอาณาเขตกว้างขึ้น ดังที่จะได้ศึกษาในบทต่อไปนี้
อัล-อิมาเราะห์
ความหมายตามหลักภาษา
ความหมายตามหลักนิรุกติศาสตร์
-
ตำแหน่งหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบในการบริหารเขตการปกครองหรือส่วนหนึ่งส่วนใดในการปกครองเขตนั้น และปัจจุบันนี้ใช้ในการเรียกตำแหน่งสำนักผู้ว่าประจำเขต[3] เรียกว่า
“ อะมีร” และในที่นี้จะขอใช้คำว่า “ อะมีร” ในรายงานฉบับนี้
อำนาจปกครองในสมัยท่านเราะซูล(ซ.ล.)
เมื่อศาสนาอิสลามแผ่กระจายไปยังดินแดนที่กว้างไกลออกไป และมีผู้ที่เลื่อมไสศรัทธาในศาสนาอิสลามมากขึ้น เมื่อพวกเขาเหล่านั้นเดินทางกลับสู่ภูมิลำเนาแล้วท่านเราะซูล(ซ.ล.)
ท่านเราะซูล(ซ.ล.)ก็เห็นถึงความสำคัญของการส่งผู้แทนท่านเพื่อการดูแลทุกข์สุขการให้ข้อแนะนำทางศาสนาตลอดจนดูอลความเป็นอยู่ของพวกเขาเหล่านั้น ท่านเราะซูลผซ.ล.)
จึงได้ส่งอะมีรไปยังสถานที่ต่างๆในดินแดนแห่งอิสลามคนแล้วคนเล่า เพื่อทำการสอนอัล-กุรอ่าน
เป็นผู้นำการละหมาดและผู้เก็บทานบริจาคต่างๆ
บรรดาอะมีรของท่านเราะซูล(ซ.ล.)
ในสมัยที่ท่านนบีมุฮัมหมัดยังมีชีวิตอยู่นั้น ท่านได้แต่งตั้งบรรดาอะมีรเพื่อทำหน้าที่แทนท่านในสถานที่ต่างๆและเมื่อท่านศาสดาเสียชีวิตลงนั้น บรรดาอะมีรเหล่านี้ก็ยังคงอยู่ในตำแหน่งหน้าที่นี้ต่อไป ในจำนวนอะมีรเหล่านี้มีดังต่อไปนี้
อัตตาบ
บินอะซีด เป็นอะมีรของเผ่ากะนานะฮ์
อัลฏอฮิร
บิน อะบีฮะลาละห์
เป็นอะมีรของเผ่าอัก
ดินแดนมักกะฮ์
ดินแดนฏออิฟ อุษมานบินอะบีอัลอาศ สำหรับชาวมะดัร และมาลิกบินเอาฟ อันนัศรีย์สำหรับชาววะบัร
ดินแดนนัจญรอน อัมรู
บิน หัซฺม
ในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการละหมาด และอบูซุฟยานในเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับการบริจาคทาน
ดินแดนระหว่างริมะอฺกับซะษีด (ใกล้กับนัจญรอน) คอลิด บินซะอีด
บิน อัลอาศ
ดินแดนฮัมดาน อามิร
บิน ซะฮัร
ดินแดนศ็อนอาอฺ อัลดัยละมีย์
ดาซวีย์ และก็อยศบินอัลมักชูฮ
ดินแดนญะนัด
ยะอลา บิน
อุมัยยะห์
ดินแดนมะรับ อบูมูซา
อัล อัชอะรีย์
การปกครองในสมัยเคาะลีฟะฮ์ทั้งสี่
ในสมัยอบูบักร
อัล ศิดดีกนั้น
ท่านได้แบ่งการปกครองในกลุ่มอาหรับไปเป็นหลายเขตพื้นที่ กล่าวคือ
นครมักกะห์ นครมะดีนะห์
เมืองฏออีฟ เมืองศ็อนอาอฺ
เมืองฮัดราตุลเมาห์ และดูลานและเมืองซะอีดและเมืองรีมัก และเมืองญะนัด
ตลอดจนเมืองนัจญรอนและเมืองบะห์เรน ต่อมาเมื่อถึงสมัยท่านเคาะลีฟะห์อุมัร บินอัลค็อฏฏอบนั้น การปกครองของรัฐก็มีการขยายมากขึ้น
ในสมัยของท่านเคาะลีฟะห์อุมัรนี่เองถือเป็นคนแรกที่ได้วางระบบการบริหารจัดการสำหรับประเทศอิสลาม โดยที่ในส่วนของการปกครองประเทศนั้นจะเป็นไปเพื่อรวบชาวอาหรับให้อยู่ร่วมกันได้เพื่อเป็นประชาชาติหนึ่งเดียว ในการนี้ท่านเคาะลีฟะห์อุมัรก็ได้ทำการแต่งตั้งผู้ที่ทำหน้าที่อะมีร
อะมีรในสมัยนี้นั้นยังได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มุมานะสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและเขาจะกระทำในสิ่งที่ตัวเองเห็นแล้วว่าจะเกิดผลดีในทุกๆแง่มุมของชีวิต ดังนั้น
การที่เคาะลีฟะฮ์อุมัรเลือกอะมีรนั้นก็ไม่ได้เป็นไปเพื่อยกย่องและให้เกียรติแก่พวกเขา แต่ทว่าเป็นเพราะความสามารถของพวกเขาในการที่จะเข้าใจแก่แท้ของหลักการศาสนาอิสลามเท่านั้น แต่ทว่าหน้าที่ของพวกเขาก็คือการดำรงไว้ซึ่งการละหมาด การให้การพิพากษาด้วยความยุติธรรม และได้มีการให้ส่วนแบ่งในทรัพย์สินสงคราม
สำหรับท่านเคาะลีฟะห์อุสมานก็ได้ดำเนินการตามวิถีทางแห่งท่านอุมัร และในช่วงวาระสุดท้ายของชีวิตท่านนั้นก็มีความอ่อนแอในด้านการบริหารจัดการ
การปกครองในสมัยอะมาวียะห์และอับบาซียะห์
ระบบการบริหารจัดการในสมัยอะมาวียะห์นั้นมีความเรียบง่ายเนื่องจากหน้าที่การงานของอะมีรมีไม่มากเท่ากับสมัยอับบาซียะห์ โดยที่สมัยอับบาซียะห์มีการเลือกอะมีรของพวกเขามาจากผู้ที่มีเชื้อสายอาหรับ หรือเป็นบุคคลที่มีเชื้อสายกษัตริย์ จึงเห็นได้ว่า
บรรดาอะมีรทั้งหลายนั้นล้วนแล้วแต่เป็นชาวอาหรับทั้งสิ้น[4]
ในสมัยอับบาซียะห์นั้น อำนาจทางการปกครองของอะมีรเหล่านั้นถูกจำกัดอยู่ในวงแคบกล่าวคือในการนำละหมาดและเป็นผู้นำด้านการทหารเท่านั้น ส่วนการจัดการอื่นๆนั้นเช่นด้านการคลัง และความยุติธรรม ไปรษณีย์ นั้นเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงคนอื่นๆหรือแม้กระทั่งเจ้าหน้าที่ปกครองส่วนท้องถิ่นที่เคาะลีฟะห์เป็นผู้เลือกสรรเอง จากจุดนี้เองทำให้เกิดเมืองเล็กๆขึ้นในเมืองใหญ่ๆเช่น รัฐตูลูนียะห์
และอัลซัยดียะห์เป็นต้น[5]
ลักษณะการปกครองในสมัยหลังจากท่านศาสดา
1. การรวมเอาสองรัฐสำหรับอะมีรคนเดียว
ด้วยเหตุผลต่างๆทางด้านการเมืองตลอดจนการจัดการจึงทำให้เกิดการรวมเอาสองสถานที่อยู่ในความดูแลของอะมีรคนเดียวกัน ดังเช่นกรณีที่เกิดขึ้นกับเมื่อตอนที่ อัลมุฆีเราะห์อะมีรแห่งกูฟะห์เสียชีวิตลง ดังนั้นท่านมุอาวียะห์จึงได้ทำการรวมเมืองกูฟะห์ให้กับซียาด ดังนั้นท่านจึงถือว่าคนที่รวมสถานที่สองสถานที่คนแรกเลยทีเดียวที่รวมระหว่างเมืองกูฟะห์กับเมืองบัศเราะห์ ส่วนในเรื่องของการจัดการอย่างไรนั้น อัล
เฏาะบารีได้กล่าวว่า ท่านซียาดได้ทำการปกครองเมืองกูฟะห์เป็นเวลา 6 เดือน
และปกครองเมืองบัศเราะห์อีกเป็นเวลา 6 เดือน
2.
การเห็นพ้องกันในบุคคลที่สามในกรณีที่เกิดความขัดแย้งระหว่างอะมีรสองคน
ได้เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างท่านอะลีกับท่านมุอาวียะห์ในกรณีที่ทั้งสองท่านต่างก็ได้ส่งอะมีรของแต่ละท่านในช่วงการทำฮัจญ์ เมื่อสิ่งเหล่านั้นไปเกี่ยวข้องกับการทำอิบาดัตจึงทำให้เกิดผลกระทบแก่บรรดามุสลิมทั้งหลาย ประกอบกับช่วงนั้นเป็นช่วงที่มุสลิมมีศรัทธาที่กล้าแข็ง ดังนั้น อะมีรทั้งสองท่านก็ได้เห็นพ้องที่จะให้มีบุคคลอีกบุคคลหนึ่งที่จะมาทำงาน จากจุดนี้เองที่เป็นหลักฐานยืนยันได้ว่าการแต่งตั้งอะมีรนั้นไม่จำเป็นจะต้องมีคำสั่งของท่านเคาะลีฟะห์ แต่เป็นไปด้วยความเห็นพ้องของทั้งสองฝ่ายโดยยึดถือผลประโยชน์ของมุสลิมทั่วไปเป็นหลัก
3.
การให้การสัตยาบันเป็นการชั่วคราว
ในบางกรณีเกิดเหตุการณ์ต่างๆมากมายเช่นการเสียชีวิตของท่านเคาะลีฟะห์ การฟิตนะห์ต่างๆนาๆ ทำให้ประชาชนของเมืองเมืองนั้นได้ทำการคัดเลือกบุคคลที่เขาคัดสรรขึ้นมาเพือทำหน้าที่อะมีรของพวกเขาเป็นการชั่วคราวจนต่อเมื่อสามารถจะทำการคัดเลือกบุคคลอื่นที่ทุกฝ่ายเห็นชอบในโอกาสต่อไป เช่นในกรณีของการให้การสัตยาบันของชาวบัศเราะห์ต่อท่านอุบัยดุลลอฮ บิน
ซียาด เป็นต้น
4.
การถอดถอนอะมีรและการให้การสัตยาบันต่อบุคคลอื่น
ในกรณีที่มีการถอดถอนท่านฮัจญาจออกจากตำแหน่งและแต่งตั้งท่านอื่นให้ทำหน้าที่แทน
5
การสังหารอะมีรและแต่งตั้งบุคคลอื่น
ในกรณีนี้มีการสังหารท่านยะซีดบิน อะบีมุสลิม
รูปแบบการปกครอง
ลักษณะรูปแบบการปกครอง
สามารถที่จะแบ่งออกได้เป็น 2 รูปแบบคือ
1) การปกครองแบบทั่วๆไป (الإمارة
العامة)
1)
การปกครองแบบทั่วๆไป (الإمارة
العامة)
การปกครองโดยทั่วไปประกอบไปด้วยสองลักษณะ คือ
1. การปกครองแบบอำนาจเบ็ดเสร็จ (إمارة
استكفاء): เป็นการปกครองที่มีอะมีรที่ถูกแต่งตั้งโดยท่านคอลีฟะห์
และทำหน้าที่บริหารการปกครองแทนคอลีฟะห์ในดินแดนที่ได้รับมอบหมาย[7] ซึ่งมีอำนาจหน้าที่ครอบคลุม 7 ประการ คือ
1. การบริหารกองทัพ
2. การพิจารณากฎหมายโดยยึดตามแนวทางของผู้พิพากษา
3. การจัดเก็บภาษีและซะกาต
4. การปกป้องศาสนา
5. ดำเนินการบทลงโทษตามบัญญัติอิสลาม
6. เป็นผู้นำในการดำเนินการกิจกรรมส่วนรวมต่างๆตลอดจนเป็นผู้นำละหมาด
2. การปกครองย่อย (إمارة
استيلاء) : หมายถึงการปกครองที่อะมีรเป็นผู้แต่งตั้งผู้ปกครองเขตและได้รับการยอมรับและแต่งตั้งจากท่านคอลีฟะห์[9]
2) การปกครองแบบเฉพาะเจาะจง (الإمارة
الخاصة)
อะมีรผู้ทำหน้าที่ปกครองลักษณะนี้จะมีอำนาจหน้าที่เฉพาะในการบริหารกองทัพ ปกครอง
บทสรุป
ระบบข้าหลวงในประวัติศาสตร์อิสลาม
เป็นระบบที่มีวิวัฒนาการมาตั้งแต่สมัยท่านรอซูล (ศ็อลฯ)
จะมีการเปลี่ยนแปลงและแตกต่างกันตามความเหมาะสมกับยุคสมัย
ด้วยสาเหตุหนึ่ง
อณาจักรอิสลามได้แผ่ขยายไปอย่างกว้างขวางทำให้อณาเขตการปกครองก็ขยายไปตามกัน
ทั้งนี้ ระบบข้าหลวงจึงมีความสำคัญยิ่ง และเป็นการกระจายงานที่มีระบบในประวัติศาสตร์อิสลาม
บรรณานุกรม
เชากี อบูคอลีล 1987, อัล ฮาฎอเราะฮฺ
อัล อารอบียะอฺ, กุลียาตุล ดะวะฮฺ อัล อิสลามียะฮฺ
ซอฟิร อัล-กอซีมีย์ 1977 นิษอม อัล-ฮุกม ฟี อัล-ชารีอะห์ วา อัล-ตารีฆ
อัล-อิสลามีย์, เบรุต : ดาร อัล-นาฟาอิส
ฮาซัน อิบรอฮัม ฮาซัน และ อาลี อิบรอฮีม ฮาซัน (มปป) อันนูซุม อัล
อิสลามียะฮฺ มักตาบะฮฺ อันนะฮฺร
อัลซอและห์ ศุบฮี 2001 อัลนุษุมอัลอิสลามียะห์, พิมพ์ครั้งที่ 13 เบรุต :สำนักพิมพ์ดาร
อัลอิลมี
มุอญัม อัล-ลุเฆาะห์
อัล-ฟูกอฮาอู
พจนานุกรม อาหรับ—ไทย