|
ภาพการศึกษาในอาณาจักรออตโตมาน |
สถาบันการศึกษาหรือองค์การที่ดำเนินกิจกรรมทางการศึกษามีความสำคัญยิ่งในแต่ละราชวงศ์และเป็นปัจจัยสำคัญในความอยู่รอดของแต่ละราชวงศ์และแต่ละราชอาณาจักร อาณาจักรออตโตมานให้ความสำคัญต่อการศึกษาเหมือนกับอาณาจักรอิสลามอื่นๆ ในอดีตประกอบกับอาณาจักรออตโตมานได้แผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมดินแดนในเปอร์เซีย ซีเรีย อียิปต์ ตุรกีสถาน ซึ่งล้วนแต่เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและอารยธรรมในสมัยนั้น ทำให้การศึกษาในอาณาจักรออตโตมานทวีความคึกคักมากขึ้น จนกลายเป็นยุคทองทางการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 องค์การหรือสถาบันที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการศึกษาในอาณาจักรออตโตมานสรุปได้ ดังนี้
1. มักตาบศิบยาน (sibyan mektepleri)
มักตาบศิบยานเป็นสถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนในระดับปฐมศึกษา สถาบันนี้เดิมเรียกว่า กุตตาบ (kuttab) หรือบางครั้งเรียกว่าดารุลตะลีม (daru’l-ta’lim)ดารุล หุฟฟาษ (karu’l-huffaz) หรือเรียกว่ามักตาบ (maktab) เฉยๆ ทุกหมู่บ้านหรือชุมชนของอาณาจักรออตโตมาน ส่วนใหญ่จะมีสถาบันนี้ อาคารของมักตาบศิบยานจะเป็นอาคารที่เรียบง่าย บางครั้งจะสร้างติดกับมัสยิด หรือติดกับจวนของชนชั้นผู้ปกครองในหมู่บ้านนั้นๆ หรือบางหมู่บ้านก็จะสร้างเป็นอาคารต่างหาก มักตาบศิบยานในบางพื้นที่เป็นสหศึกษาคือรวมเด็กชายและเด็กหญิง สถาบันนี้ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรมูลนิธิการกุศล (awaf)
มักตาศิบยาน จะรับบุตรธิดาของชาวมุสลิมทุกคนที่มีอายุครบ 5 ขวบเข้าศึกษาโดยไม่จำกัดชนชั้นวรรณะ ผู้ปกครองที่มีลูกหลานอายุย่างเข้า 5 ขวบจะทำพิธีที่เรียกว่าอามีน อะลาเยอ (amin alayi) หรือพิธีบัดอีย์ บัสมะละห์ (bed-i besmele) ในการส่งลูกหลานเข้าเรียนในมักตาบศิบยาน ครูที่ทำหน้าที่สอนในสถาบันดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาในระดับมัดราซะห์ หรือบรรดาอิหม่าม มุอัสซิน หรือผู้ดูแลมัสยิด (kayyum) ที่รู้หนังสือสามารถอ่านออกเขียนได้ ส่วนครูที่ทำหน้าที่สอนในมักตาบศิบยานประเภทสหศึกษาหรือเด็กหญิงล้วนเป็นครูสตรีที่รู้หนังสือ มีประสบการณ์และเป็นผู้ท่องจำอัลกุรอาน (hafizah) มักตาบศิบยานมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนรู้หนังสือ อ่านออกเขียนได้ สามารถอ่านอัลกุร
อานได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจหลักการพื้นฐานของศาสนา มักตาบศิบยานในบางพื้นที่นอกจากสอนวิชาที่เกี่ยวกับศาสนาแล้ว ยังสอนวิชาเรขาคณิตเบื้องต้น และวิชาวรรณกรรมอีกด้วย
2. มัดราซะห์ (madrese)
มัดราซะห์ เป็นสถานที่ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการศึกษาที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัดราซะห์นิศอมิยยะห์ (madrasah nizamiyyah) ซึ่งเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่11 สถาบันมัดราซะห์จัดตั้งขึ้นเริ่มแรกเพื่อวัตถุประสงค์การผลิตนักฟิกฮ (นักกฎหมายอิสลาม) โดยเฉพาะ ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 13 มีสถาบันมัดราซะห์ที่เน้นเฉพาะทางในสาขาอื่นๆ เกิดขึ้น เช่น มัดราซะห์หะดีษ (madarisu’l-tafsir) มุ่งเน้นการผลิตนักอรรถาธิบายอัลกุรอานมัดราซะห์นะห์วุ (madarisu’l-nahv) ที่เน้นผลิตนักภาษาศาสตร์ เป็นต้น
ในดินแดนอนาโตเลียมีมัดราซะห์เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายมาแต่อดีตก่อนการสถาปนาอาณาจักรออตโตมาน ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 14 มีสถาบันมัดราซะห์เกิดขึ้นมากมายในหัวเมืองหลักของอนาโตเลีย เช่น เมืองคอนยา (konya) มีมัดราซะห์ถึง 24 แห่ง เมืองมาดิน (mardin) และเมืองสีวัส (sivas) หัวเมืองละ 13 แห่ง และหัวเมืองไกยสารีมีมัดราซะห์ถึง 11 แห่ง นอกจากนี้หัวเมืองรองต่างๆ เช่น เมืองสีวรีหิซาร์ (sivrihisar) เมืองอักซาฮีร เมืองดิแร (tire) เมืองอักสาราย เมืองแอร์ซูรูม เมืองดิยารบากิรหรือเมืองการามาน มีมัดราซะห์เมืองละไม่น้อยกว่า 4-6 แห่ง
ในยุคราชวงศ์ออตโตมานมีการสร้างสถาบันมัดราซะห์ครั้งแรกในสมัยของสุลต่านอรฮันที่เมืองอิซนิกในปี ฮ.ศ. 731 (ค.ศ.1130) กล่าวคือ เมื่อสุลต่านอรฮันพิชิตเมืองอิซนิกได้สำเร็จ พระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งให้สร้างมัสยิดและมัดราซะห์ขึ้นและพระองค์ทรงแต่งตั้ง mawlana dawud al-kayseri ซึ่งเป็นอุลามะอในระดับแนวหน้าในมัยนั้นเป็นผู้ดูแลมัดราซะห์ดังกล่าว แนวการปฏิบัติของสุลต่านอรฮันกลายเป็นประเพณีของกองทัพออตโตมานเมื่อสามารถพิชิตดินแดนใหม่ก็จะสร้างมัสยิดและมัดราซะห์ขึ้นในดินแดนพิชิตใหม่นั้น ซึ่งทำให้จำนวนมัดราซะห์ในดินแดนอาณาจักรออตโตมานทวีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ในระหว่างปี ค.ศ.1331-1451 ในดินแดนอาณาจักรออตโตมานมีสถาบันมัดราซะห์ถึง 82 แห่ง และเพิ่มจำนวนเรื่อยๆ โดยเฉลี่ย 3 ปีจะมีมัดราซะห์ใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างน้อย 2 แห่ง (e.ihsanoglu,1998:237)
ในสมัยสุลต่านเมห์เมด อัลฟาติห์ (mehmed al-fatih) พระองค์ทรงสร้างมัดราซะห์ษะมานียะห์ (semaniye medreseleri) ขึ้นในบริเวณรอบๆ มัสยิดอัลฟาติห์ (fatih camii) ซึ่งประกอบด้วยมัดราซะห์ชั้นสูง (sahn) 8 โรง และมัดราซะห์ระดับรองลงมาที่เรียกว่าแตติมมะห์ (tetimme) อีก 8 โรง รวมแล้วบริเวรรอบๆ มัสยิดอัลฟาติห์มีมัดราซะห์ถึง 16 โรง นอกจากนี้ประตูด้านทิศตะวันตกของมัสยิดยังมีดารุลตะลีม (darul-ta’lim) ซึ่งเป็นสถาบันจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาอีก 1 โรง พระองค์ทรงวางแผนที่จะให้กรุงอิสตันบูลเป็นศูนย์การศึกษาในภูมิภาคนี้
บทบาทของมัดราซะห์ในยุคก่อนสุลต่านเมห์เมด อัลฟาติห์ ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องศาสนาเท่านั้น แต่มัดราซะห์ ษะมานียะห์ ของพระองค์มีการจัดการเรียนการสอนในวิชาสามัญ หรือที่เรียกว่าวิชาอุลูมุลอักลียยะห์ (ulumul-aqliyyah) อีกด้วย เช่น วิชาคณิตศาสตร์ ตรรกศาสตร์ ปรัชญา วรรณคดี เป็นต้น อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์นั้นจะได้รับค่าตอบแทนที่แตกต่างกันตามระดับของมัดราซะห์ ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 20 อัคแจ (akge) จนถึง 50 อักแจต่อวัน
ในยุคคลาสสิคของอาณาจักรออตโตมานมีการแบ่งประเภทและระดับมัดราซะห์ออกมาเป็น 5 ระดับ ดังนี้
1. มัดราซะห์หาซิยะห์ ตัจรีด (hasiye-i tacrid)
หมายถึงมัดราซะห์ที่ใช้ตำราหะซิยะห์ตัจรีด เป็นตำราหลักในการเรียนการสอน ตำรานี้ดั้งเดิมมีชื่อว่าตัจรีดดุลกะลาม (tecridul-kelam) แต่งโดยนาศีรุดดีน อัลตูสี (nasiruddin al-tusi เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 672/ค.ศ. 1273) และมีการเขียนอธิบายโดยซัมซุดดีน มะห์มูด บิน อบีอัลกอซีม อัลอิสฟาหานีย์ (semsuddin mahmud b.ebi al-qasim al-isfahani เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.746/ค.ศ.1345) ต่อมาสัยยิด ซารีฟ อัลกุรกานีย์ (seyyid serif al-gurgani เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.816/ค.ศ.1413) ได้เขียนอธิบายเพิ่มเติมต่อในลักษณะเชิงอรรถ
รอบข้างหรือที่เรียกว่าหาซิยะห์ (hasiye) อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์ระดับดังกล่าวนี้จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราวันละ 20-25 อักแจ
2. มัดราซะห์มิฟตาห์ (miftah)
หมายถึงมัดราซะห์ที่ใช้ตำรามิฟตาห์ (miftah) นิพนธ์โดยสิรอญุดดีน ยูซุฟ อัลสักกากีย์ (siracuddin yusuf al-sakkaki เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.626/ค.ศ.1228) เป็นตำราหลักในการเรียนการสอน อาจารย์ที่สอนในระดับมัดราซะห์มิฟตาห์จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราวันละ 30 อักแจ
3. มัดราซะห์ตัลวีค (telvih)
หมายถึงมัดราซะห์ที่ใช้ตำราของศอดรุสสาเรีย อุไบยดุลลอฮ อัลบุคอรีย์ (sadrus
seria ubeydullah al-bukhari เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.747/ค.ศ.1346)ชื่อ ตันกีหุลอุศูล (tenkihul usul) และเตาฎีหูลตันกีห (tavdhihul tenkih) เป็นตำราหลักในการเรียนการสอน อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์ระดับนี้จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราวันละ 40 อักแจ
4. มัดราซะห์คอริจ (haric)
มัดราซะห์คอริจเป็นมัดราซะห์ที่มีระดับสูงกว่ามัดราซะห์ทั้งสามที่กล่าวมาข้งต้น มัดราซะห์คอริจ คือ มัดราซะห์เก่าแก่ที่มีอยู่เดิมก่อนการสถาปนาอาณาจักรออตโตมาน ซึ่งสร้างขึ้นโดยขุนนาง ข้าหลวง วิเซียร์ หรือชนชั้นปกครองสมัยอาณาจักรเซลจูก หรือผู้ปกครองรัฐในอนาโตเลียในอดีต อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์ระดับดังกล่าวนี้ จะได้รับค่าจ้างในอัตราวันละ 50 อักแจ
5. มัดราซะห์ดาคิล (dahil)
หมายถึงมัดราซะห์ที่สร้างขึ้นโดยสุลต่านหรือปาดีซะห์แห่งราชวงศ์ออตโตมาน หรือสร้างโดยพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย มัดราซะห์ดาคิลแบ่งเป็น 2 ระดับ คือ
5.1) มัดราซะห์แตติมมะห์ (tatimme) มัดราซะห์มุศีลาอิ ศ็อห์น (musila-i sahn) อาจารย์ที่ทำหน้าที่สอนนักศึกษาในระดับมัดราซะห์แตติมมะห์นี้จะได้รับค่าจ้างในอัตราวันละ 50 อักแจ
5.2) มัดราซะห์ศ็อห์น (sahn) คือสถาบันการศึกษาชั้นสูงสุดในระบบมัดราซะห์ ของอาณาจักรออตโตมาน มัดราซะห์นี้ทำหน้าที่ผลิตอุลามาอ กอฎี (ผู้พิพากษา) ไซดุลอิสลาม และนักปราชญ์เพื่อรับใช้อาณาจักร ครูบาอาจารย์ในมัดราซะห์ศ็อห์นส่วนใหญ่เป็นบรรดาอุลามาอ และนักปราชญ์ชั้นแนวหน้าของอาณาจักรออตโตมาน
ในสมัยสุลต่านสุไลมาน กอนูนีย์ สถาบันมัดราซะห์ได้พัฒนามากขึ้น พระองค์นอกจากสร้างมัดราซะห์ศ็อห์น (sahn) ถึง 4 โรง และมักตาบศิบยาน (sibyan) อีก 1 โรงแล้ว พระองค์ยังได้สร้างมัดราซะห์เฉพาะทางในเรื่องสาขาวิชาหะดีษซึ่งเรียกว่าดารุลหะดีษ (darul hadith) นอกจากนี้พระองค์ยังได้สร้างวิทยาลัยการแพทย์ โดยใช้ชื่อว่าดารุตตีบ (darul-tib) และวิทยาลัยการเภสัชกรรม (darul-adviye) พร้อมกับโรงพยาบาลและโรงอาหารสาธารณะหรือที่เรียกว่าดารุสสิยาฟะห์ (daruz-ziyafe) ขึ้นในรอบๆ บริเวณมัสยิดของพระองค์ (มัสยิดสุไลมานียะห์)
ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 มีการปรับปรุงสถาบันมัดราซะห์ใหม่ โดยการจัดระดับชั้นมัดราซะห์ ดังนี้
1. มัดราซะห์อิบตีดาอีย์ คอริจ (ibtida-i haric) คือมัดราซะห์คอริจชั้นต้น
2. มัดราซะห์อิกินญี คอริจ (ikinci haric) คือมัดราซะห์คอริจชั้นสอง
3. มัดราซะห์ อิบตีดาอีย์ ดาคิล (ibtida-i dahil) คือมัดราซะห์ดาคิลชั้นต้น
4. มัดราซะห์อิกินญี ดาคิล (ikinci dahil)คือมัดราซะห์ดาคิลชั้นสอง
5. มัดราซะห์ มุศีลาอี ศ็อห์น (musila sahn)
6. มัดราซะห์ (sahn)
7. มัดราซะห์อิบตีดาอีย์ อัตมิซเลอ (ibtida-i atmisli) คือมัดราซะห์ที่มีอัตราค่าจ้าง
อาจารย์วันละ 60 อักแจ ชั้นต้น
8. มัดราซะห์อีกินญี อัตมิซเลอ (ikinye atmisli) คือมัดราซะห์ที่มีอัตราค่าจ้างวันละ
60 อักแจชั้นสอง
9. มัดราซะห์มุศิลาอี สุไลมานีแย (musila-i suleymaniye) คือมัดราซะห์ชั้นเตรียม
นักศึกษาเพื่อสู่ระดับมัดราซะห์สุไลมานีแย
10.มัดราซะห์สุไลมานีแย (suleymaniye madresesi) คือสถาบันการศึกษาชั้นสูง
สุดในระดับมัดราซะห์
11.มัดราซะห์ฮาวามิซี สุไลมานีแย (havamis-i suleymaniye) เป็นระดับชั้นมัดรา
ซะห์ที่เกิดขึ้นใหม่โดยรวมระหว่างมัดราซะห์มุศิลาอี สุไลมานีแย กับมัดราซะห์
สุไลมานีแยเข้าด้วยกัน
นอกจากนี้ ยังมีมัดราซะห์เฉพาะทางในสาขาวิชาต่างๆ เช่น ดารุลหะดีษ (darul hadith) เป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทางในสาขาวิชาหะดีษ มุอัลลิมฮาแนอิ นุววาบ (muallimhane-i nuvvab) มักตาบนุววาบ (mektab-i nuvvab) มัดราซะห์กุฎอต (madresetul kuzat) ทั้ง 3 เป็นสถาบันเฉพาะในการผลิตกอฎี (ผู้พิพากษา) มัดราซะห์อะอิมะห์ อัล คุฎอบาต (madresetul-eimme ve’l hutaba) และมัดราซะห์อิรซาด (madresetu’l irsad) เป็นมัดราซะห์เฉพาะทางในการผลิตอิหม่าม นักเผยแผ่ศาสนา และนักเทศนาธรรม นอกจากนี้ ยังมีมัดราซะห์ที่เน้นเฉพาะในเรื่องศิลปะการเขียนตัวอักษร เรียกว่า มัดราซะห์คอตตาตีน (madresetu’l hattatin)
จำนวนมัดราซะห์ของอาณาจักรออตโตมานตามหัวเมืองหลักต่างๆ สรุปเป็นตารางได้ดังนี้
ชื่อเมือง | คริสต์ ศต.ที่14 | คริสต์ ศต.ที่15 | คริสต์ ศต.ที่16 | ไม่สามารถกำหนดได้ | รวม |
เมืองอิซนิก | 4 |
|
|
| 4 |
เมืองบุรซา | 19 | 11 | 16 |
| 36 |
เมืองแอดิรแน | 1 | 20 | 10 |
| 31 |
เมืองอิสตันบูล |
| 23 | 113 | 6 | 142 |
อนาโตเลีย | 12 | 31 | 32 | 13 | 88 |
แหลมบอลข่าน | 4 | 12 | 18 | 5 | 39 |
ซีเรีย |
|
| 3 |
| 3 |
แหลมอาราเบีย (hicaz) |
|
| 6 |
| 6 |
เยแมน |
|
| 1 |
| 1 |
รวม | 40 | 97 | 189 | 24 | 350 |
จำนวนมัดราซะห์ในดินแดนออตโตมานในพื้นที่ยุโรป (rumeli) สรุปเป็นตารางได้ดังนี้
ชื่อประเทศ | จำนวนมัดราซะห์ |
กรีซ | 189 |
บัลแกเรีย | 144 |
อัลบาเนีย | 28 |
บอสเนีย,เฮอร์เซโกวินา,โครเอเซีย,มอนเตนิโกร | 105 |
โคโซโว,มาซิโดเนีย,เซอร์เบีย,สโลวิเนีย,โวจโวดินา | 134 |
โรมาเนีย | 9 |
ฮังการี | 56 |
รวม | 665 |
ต่อมาในเดือนซุลเกาะดะห์ ปี ฮ.ศ.1332 (ค.ศ.1914) มีการตราพระราชกฎหมายปรับปรุงสถาบันมัดราซะห์ครั้งใหญ่ โดยยุบรวมสถาบันมัดราซะห์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองหลวงกรุงอิสตันบูลให้เป็นมัดราซะห์เดียวภายใต้ชื่อว่ามัดราซะห์ดารุลคิลาฟะติลอาลียยะห์ (darul-hilafeti’l-aliyye madresesi= แปลว่ามัดราซะห์ชั้นสูงแห่งเมืองคอลิฟะห์) และได้แบ่งระดับการศึกษาออกเป็น 3 ระดับคือ ระดับต้น (tali kismi evvel) ระดับกลาง (tali kismi sani) และระดับสูง (ali kismi) โดยในแต่ละระดับใช้เวลาการศึกษา 4 ปี
มัดราซะห์มีบทบาททางการศึกษาของอาณาจักรออตโตมานเรื่อยมาจนถึงช่วงต้นของสาธารณรัฐตุรกี ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกสถาบันมัดราซะห์ และได้จัดตั้งสถาบันอิหม่ามคอติบ (imam hatip mektebi) เป็นสถาบันการศึกษาศาสนาระดับมัธยม และคณะอิลาฮิยาด (ilahiyat fakultesi) เป็นการศึกษาศาสนาระดับอุดมศึกษาขึ้นแทน โดยทั้งสองขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ
3. สถาบันตำหนักใน (enderun mektebi)
ในตำหนักใน นอกจากเป็นที่ปฏิบัติงานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว ยังเป็นสถานศึกษาที่สำคัญยิ่งของอาณาจักรออตโตมานรองจากสถาบันมัดราซะห์ การศึกษาในตำหนักในนั้นมีเป้าหมายเพื่อผลิตขุนนางข้าราชการทั้งฝ่ายบริหาร ทหาร ตุลาการ และบุคคลสำคัญของรัฐ ทั้งนี้เพื่อรับใช้พระราชสำนักและอาณาจักร การศึกษาในตำหนักในมีความแตกต่างกัน การศึกษาในสถาบันมัดราซะห์ คือนักศึกษาในตำหนักในทุกคนจะต้องเรียนวิชาการทหารและบริหารพร้อมกับฝึกปฏิบัติในภาคสนามจริงอีกด้วย ระบบการศึกษาในตำหนักในจะมีโปรแกรมและแบ่งระดับชั้นที่ชัดเจนเพื่อกลั่นกรองแยกความสามารถและความถนัดของนักศึกษาแต่ละท่านได้อย่างชัดเจน
4. สถานพยาบาล (sifahane) และวิทยาลัยการแพทย์ (daru’t-tib)
สถานพยาบาลในอดีต นอกจากให้บริการด้านสุขภาพและสาธารณสุขแล้ว ยังเป็นสถานศึกษาวิชาการแพทย์อีกด้วย ในประวัติศาสตร์อิสลามสถานพยาบาลเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของสุลต่านวาลีด บิน อับดุลมาลีก (walid b. abdulmalik ครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ.705-715) แห่งราชวงศ์อุมัยยะห์ และมีความเจริญก้าวหน้ามากมายอย่างแพร่หลายในหัวเมืองหลักต่างๆ ทั้งในซีเรีย เปอร์เซีย และอนาโตเลีย
ในสมัยราชวงศ์ออตโตมานมีการสร้างสถานพยาบาลครั้งแรกที่เมืองบุรซาในสมัยของสุลต่านบายาซิดที่ 1 (ค.ศ.1360-1403) สถานพยาบาลในสมัยราชวงศ์ออตโตมานมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน เช่น ดารุซซิฟาอ (daru’s-sifa) ดารุศหหะห์ (daru’s-sihha) ซิฟาฮาแน (sifahane) บิมาริสถาน (bimaristan) บิมารฮาแน (bimarhane) หรือติมารฮาแน (timahane)
ในเมืองหลวงอิสตันบูลมีสถานพยาบาลเกิดขึ้นหลายแห่งตามยุคสมัยของสุลต่านแต่ละองค์ ส่วนสถานพยาบาลแห่งแรกของเมืองอิสตันบูลคือ สถานพยาบาลดารุซซิฟาอของสุลต่านเมห์เมดอัลฟาติห์ ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1470 เป็นสถานพยาบาลขนาด 70 ห้องผู้ป่วย ในปี ค.ศ.1488 สุลต่านบายาซิดที่ 2 (ค.ศ.1450-1512) ได้สร้างสถานพยาบาลเบยาซิดดารุซซิฟาอ (bayezid daru’s-sifa) ขึ้นที่เมืองแอดิรแน โดยเน้นการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคตาและโรคประสาท
ในปี ค.ศ.1550 สุลต่านสุไลมานทรงสร้างสถานพยาบาลดารุซซิฟาอขึ้นในรอบๆ บริเวณมัสยิดของพระองค์ สถานพยาบาลดารุซซิฟาอของสุลต่านสุไลมานเป็นสถานพยาบาลชั้นแนวหน้าที่สุดของอาณาจักรออตโตมาน พระองค์ได้แยกการศึกษาวิชาการแพทย์จากสถานพยาบาล โดยทรงจัดตั้งวิทยาลัยการแพทย์ขึ้น ใช้ชื่อว่า สุไลมานียะห์ ดารุตติบบี (suleymaniye daru’t-tibbi) เพื่อผลิตแพทย์โดยเฉพาะ นับว่าเป็นวิทยาลัยการแพทย์แห่งแรกของราชวงศ์ออตโตมาน นักศึกษาที่ประสงค์จะเข้าศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์นี้จะต้องจบการศึกษาระดับมัดราซะห์คอริจและดาคิลชั้นต้น พร้อมกับต้องผ่านชั้นเตรียมมัดราซะห์สุไลมานีแย (tetimme) นักศึกษาแพทย์จะเรียกภาคทฤษฎีที่วิทยาลัยการแพทย์สัปดาห์ละ 4 วัน ที่เหลือจะฝึกปฏิบัติที่สถานพยาบาลดารุซซฺฟาอ ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับประกาศนีย
บัตรตามรายวิชาและตำราที่ได้เรียนมา ในปีเดียวกับนางฮาแสกี ฮุรเร็ม สุลต่าน (haseki hurrem sultan) พระมเหสีของสุลต่านสุไลมานได้สร้างสถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในอิสตันบูล โดยใช้ชื่อว่าฮาแสกี ดารุซซิฟาอ ซึ่งต่อมาให้จัดเป็นสถานพยาบาลสำหรับสตรีโดยเฉพาะจนถึงปี ค.ศ.1884 และได้เปลี่ยนเป็นสถานพยาบาลโรคประสาท โรงพยาบาลฮาแสกี ยังคงดำเนินกิจการอยู่จนถึงปัจจุบันนี้
ในปี ค.ศ.1583 นูร บานู สุลต่าน (เสียชีวิตปี ค.ศ.1583) พระมหสีของสุลต่าน ซาเล็มที่ 2 ได้สร้างสถานพยาบาล วาลิแด อะตึก ดารุซซิฟาอ (valideatik daru’s sifa) ขึ้นที่อุสกุดาร (uskudar) ในเมืองอิสตันบูล ต่อมาในปี ค.ศ.1617 สุลต่านอะห์มัดที่ 1 ทรงสร้างสถานพยาบาลสุลต่านอะห์มัด ดารุซซิฟาอขึ้นที่เมืองอิสตันบูลเช่นกัน หลังจากปี ค.ศ.1800 เป็นต้นมาอาณาจักรออตโตมานเริ่มมีความสัมพันธ์กับตะวันตกมากขึ้นและเริ่มมีโรงพยาบาลและวิทยาลัยการแพทย์สมัยใหม่เกิดขึ้น ในปี ค.ศ.1805 รัฐบาลออตโตมานเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยการแพทย์พร้อมกับโรงพยาบาลสมัยใหม่ขึ้นที่เขตกาซึม ปาซา (kasimpasa) ในอิสตันบูล แต่ดำเนินการได้ไม่นานถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ.1822 อาคารเสียหายหมดจนต้องปิดดำเนินการในที่สุด ต่อมาในปี ค.ศ.1839 รัฐบาลออตโตมานได้สร้างสถาบันการแพทย์สมัยใหม่โดยใช้ชื่อว่ามักตาบ ติบบิยยะห์ อัดลียะห์ ชาฮาแน (maktebi tibbiye adliye sahane) ขึ้นที่เขตคาลาตาสาร่าย เมืองอิสตันบูล หลังจากอาณาจักรออตโตมานเข้ายุคตันซีมาต โรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์สมัยใหม่ได้เข้าแทนที่บทบาทของสถานพยาบาลดารุซซิฟาอ และดารุซซิฟาอแห่งอาณาจักรออตโตมานค่อยๆ ลดจำนวนและสูญหายไปในที่สุด
5. เตกแก (tekke) และซาวิยะห์ (zaviye)
เตกแกหรือซาวิยะห์เป็นสถาบันการศึกษารูปแบบหนึ่งที่อาณาจักรออตโตมานสืบทอดมรดกจากอาณาจักรเซลจูกและอาณาจักรอิสลามอื่นๆ ในอดีตเตกแก หรือซาวิยะห์ เป็นอาศรมหรือที่พำนักและปฏิบัติธรรมของบรรดานักซูฟีและเดรวิซ (dervish)
เตกแกและซาวิยะห์มีบทบาททางการศึกษาของชุมชนออตโตมานมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอบรมขัดเกลาจิตใจโดยใช้ศาสนาควบคู่กับตะซัววุฟตามแนวทางของแต่ละสำนัก ผู้ที่เลื่อมใสสำนักใดก็จะไปที่เตกแกหรือซาวิยะห์ของสำนักนั้นๆ ตามที่ตนเลื่อมใส เพื่อรับฟังการเทศนาธรรมจากนักซูฟี หรือเดรวิซพร้อมกับเข้ารับการอบรมขัดเกลาจิตใจตามแนวทางของสำนักนั้นๆ ผู้ที่ไม่มีโอกาสเข้าศึกษาในสถาบันมัดราซะห์นิยมอาศัยเตกแกและซาวิยะห์ในการเรียนรู้ศาสนาและแนวทางตะซัววุฟในอนาโตเลียมีนักซูฟีและเดรวิซเกิดขึ้นที่สำคัญหลายท่านด้วยกัน เช่น เมาลานา ญะลาลุดดีน รูมี (mawlana jalaluddin rumi) ยูนุส เอมแร (yunus emre) หะยี ไบรัม วาลี (haci bayram veli) หะยี เบกตัซ วาลี (haci bektas veli) บทบาทของเตกแก และซาวิยะห์มีเรื่อยมาควบคู่กับสังคมออตโตมาน จนกระทั่งรัฐบาลออตโตมานได้ออกกฎหมายสั่งปิดเตกแกและซาวิยะห์ในปี ค.ศ.1925
นอกจากการศึกษาในระบบตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว มัสยิด ห้องสมุด จวนของบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ หรือที่พำนักของบรรดาอุลามาอ ล้วนแต่มีบทบาทในกิจกรรมการศึกษาของอาณาจักรออตโตมาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19 มีนักศึกษาจำนวนมากนิยมไปศึกษาหาความรู้ตามจวนของบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่ และตามบ้านของบรรดาอุลามาอที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นๆ อาทิเช่น kethudazade mehmed arif, minhat pasa, sadrazam yusuf kamal pasa เป็นต้น
อ้างจากเอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักการบริหารในอิสลาม3 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา