สุลฏอนอับดุลหะมีดที่ 2 คอลีฟะฮฺท่านสุดท้ายก่อนระบอบคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺจะถูกปิดฉากลง ยิวได้สถาปนาขบวนการเคลื่อนไหวไซออนิสต์ขึ้นมาอย่างเป็นทางการและมีข้อตกลงพ้องกันว่า พวกเขาต้องหาที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งให้เขาเสียที ที่ๆพวกเขาจะสถาปนาเป็นรัฐยิว (ไม่ได้แค่จะไปอาศัยอย่างเดียวนะครับ แต่จะไปเป็นเจ้าของเลย-ผู้เขียน) เลยสรุปได้ว่า ดินแดนปาเลสไตน์คือดินแดนที่พวกเขามีสิทธิไปเป็นเจ้าของมากที่สุดเพราะเอาข้ออ้างที่ว่า ปาเลสไตนน์เป็นดินแดนพันธะสัญญาสำหรับพวกเขาโดยเฉพาะ แต่เรื่องนี้ไม่ง่ายนักสำหรับพวกเขา เพราะปาเลสไตน์ยังอยู่ภายใต้การปกป้องของรัฐอุษมานียะฮฺ พวกเขาเลยตัดสินใจเข้าพบคอลีฟะฮฺอับดุลหะมีดที่ 2 และเสนอสินบนให้ท่านคอลีฟะฮฺ เพราะชาวยิวคิดว่ารัฐอิสลามอุษมานียะฮฺตอนนั้นเกิดความวุ่นวายและมีหนี้สินมาก เลยใช้อุบายนี้ เพื่อให้ท่าน คอลีฟะฮฺยอมที่จะรับรองรัฐยิวซึ่งได้สถาปนาในดินแดนปาเลสไตน์ แต่ทว่าความเป็นผู้ศรัทธาและอะมะนะฮฺในตัวของท่านคอลีฟะฮฺนั้นสูงส่งยิ่งนัก ท่านได้ปฎิเสธเงินสินบนนั้น ด้วยถ้อยคำที่กินใจอย่างยิ่งว่า“ แผ่นดินอันเป็นมาตุภูมิของเราย่อมมิอาจนามาซื้อขายด้วยเงินทองได้เลย แผ่นดินที่เราได้มาทุกคืบทุกศอกนั้น ล้วนแต่ได้มาด้วยการสูญเสียเลือดเนื้อของเหล่าบรรพบุรุษแห่งเรา เราจึงมิอาจละเลยได้เลยแม้แต่เพียงคืบเดียว โดยที่เราหาได้ทาการอุทิศทุ่มเทให้มากกว่าที่เหล่าบรรพชนได้อุทิศเลือดเนื้อในวิถีทางเช่นนั้น ภาระหนี้สินของประเทศนี้ย่อมมิใช่เรื่องที่น่าอดสูแต่อย่างใด ประเทศอื่นๆ เช่น ฝรั่งเศสก็เป็นหนี้เป็นสินเช่นกัน (อัสรอร อัลอิงกิลาบ อัล อุษมานียะฮฺ หน้า 7 และ อัลอัฟอา อัลยะฮูดียะฮฺ หน้า 84) บัยตุ้ลมักดิส อันทรงเกียรติ (กรุงเยรูซาเล็ม) นั้น ชาวมุสลิมได้พิชิตเป็นครั้งแรกในสมัยเคาะลีฟะฮฺอุมัร (ร.ฎ.) และข้าพเจ้าก็หาได้พร้อมไม่ที่จะแบกรับรอยด่างพร้อยในประวัติศาสตร์ด้วยการขายแผ่นดินอันศักดิ์สิทธิ์ให้แก่ชาวยิวและบิดพลิ้วต่อภาระหน้าที่ซึ่งมวลมุสลิมได้มอบหมายให้ข้าพเจ้าพิทักษ์รักษาภารกิจนั้นไว้ ขอให้ชาวยิวเก็บรักษาทรัพย์สินของพวกเขาไว้เถิด จักรวรรดิอุษมานียะฮฺมิอาจจะหลบเร้นจากผองภัยอยู่เบื้องหลังป้อมปราการที่ถูกสร้างขึ้นด้วยทรัพย์สินของเหล่าศัตรูแห่งอิสลามได้เลยแม้แต่น้อย ” (อัสสุลฏอน อับดุลหะมีดที่ 2 และปาเลสไตน์ หน้า 180) เมื่อชาวยิวได้รับรู้แล้วว่าพวกเขาต้องจบความฝันของพวกเขาเป็นแน่ ถ้าหากสุลฏอนอับดุลหะมีดที่ 2 และสุลฏอนอื่นๆหลังจากท่านจะมีอุดมการณ์และมีความศรัทธาในอิสลามสูงส่งอย่างท่านด้วย แต่ทว่าพวกเขายังไม่สิ้นหวัง มีอยู่ทางเดียวนั้นก็คือ การปลดเคาะลีฟะฮฺอับดุลหะมีดที่ 2 ออกจากตำแหน่งและหาสุลฏอนคนใหม่ที่จะเป็นเพียงหุ่นเชิดที่จะปูทางความฝันให้กับตน เลยเกิดการรณรงค์ให้ประชาชนทั่วไป ทหาร นักศึกษา ฯลฯ ให้หลงเชื่อว่า ท่านเคาะลีฟะฮฺนั้น เป็นคนโหดเหี้ยม ไร้คุณธรรม และไม่เหมาะสมที่จะดำรงตำแหน่งผู้นำของอาณาจักรอีกต่อไป เพราะมีความคิดครํ่าครึล้าสมัย ทำให้ความเจริญของรัฐต้องหยุดชะงัก (ทั้งๆที่ไม่เป็นความจริงเลยเพราะผลงานของท่านมีหลายอย่างที่ทำให้อุษมานียะฮฺนั้นลํ้าหน้ากว่าใครในโลกนี้เสียอีกในสมัยนั้น เช่น รถไฟสายฮีญาซ ที่เชื่อมการคมนาคมภายในรัฐอันกว้างใหญ่ด้วยขบวนรถไฟซึ่งสมัยนั้นหรือสมัยนี้ก็ไม่ได้เป็นเรื่องง่ายนัก) วิธีการนี้เป็นวิธีการอันแยบยลมากเพราะการรณรงค์เป็นไปอย่างเบาๆเรื่อยๆ ค่อยแทรกซึมผ่านสื่อ และคนของยิวเอง ที่ได้แทรกซึมและกัดกร่อนภายในสภาสูงของเคาะลีฟะฮฺ มีชาวยิว(มุนาฟิก)หลายคนที่เข้ารับอิสลามเพื่อเข้าไปอยู่ภายในรัฐบาลของอุษมานียะฮฺเพื่อเป้าหมายเดียวคือ ปลดท่านเคาะลีฟะฮฺอับดุลหะมีดที่ 2 ออกจากตำแหน่ง
การเกิดขึ้นของพวกมาโซนิค (Masonic, Freemason) กลุ่มแนวร่วมของ ไซออนิสต์ (Zionism) ฯลฯ องค์กรเหล่านี้มีบทบาทสำคัญในการสร้างคนสร้างความโกลาหลให้กับรัฐอิสลามและยุยงให้ชนกลุ่มน้อยต่างๆในรัฐมีความเป็นชาตินิยมขึ้นอย่างบ้าคลั่งในเวลาสั้นๆได้ แม้แต่บรรดาชัยคฺต่างๆของลัทธิซูฟีก็ถูกหลอกใช้ด้วยเช่นกัน รวมถึงการใช้วิธีการสกปรกโหดร้ายด้วยการวางแผนลอบสังหารท่านเคาะลีฟะฮฺหลายครั้งหลายครา แต่อัลหัมดุลิลลาฮฺ อัลลอฮฺ (สุบหานะฮุวะตะอาลา) ยังทรงปกป้องท่าน แต่ท้ายที่สุด ชาวยิวประสบความสำเร็จในการโน้มน้าวสภามุฟตีสูงให้ปลดท่านเคาะลีฟะฮฺจากตำแหน่งจนได้ ในวันอังคารที่ 27 เมษายน ค.ศ.1901 สภาผู้ทรงคุณวุฒิได้เปิดประชุมร่วมและมีมติเห็นพ้องในการถอดสุลฏอนอับดุลหะมีดที่ 2 จากอานาจ และเพื่อย้ำให้เห็นถึงบทบาทของชาวยิวในการนี้ คณะผู้แทนที่เข้าเฝ้าสุลฏอน ชาวยิวเข้าร่วมในคณะด้วย ชาวยิวผู้นี้คือศัตรูหมายเลขหนึ่งของอิสลาม เป็นผู้อยู่เบื้องหลังการวางแผนการต่างๆ ที่หมายทาลายระบอบการปกครองอิสลามแบบคิลาฟะฮฺ คณะผู้แทนได้เข้าเฝ้าสุลฏอนและพบว่าพระองค์ทรงยืนอยู่บนพระบาทอย่างมั่นคงและมีสติที่หนักแน่น เมื่ออาริฟ หิกมัต ปาชา (Arif Hikmat Pasha ) (ยิวชาวตุรกีในสภาที่มีบทบาทโค่นล้มเคาะลีฟะฮฺ) ได้อ่านคำวินิจฉัยของท่านชัยคุลอิสลาม ฎิยาอุดดีน อะฟันดีย์ ให้ท่านรับทราบเสร็จสิ้น ท่านก็ทรงตอบเยี่ยงผู้ศรัทธาที่มีความเชื่อมั่นในพระผู้เป็นเจ้าว่า "ดังกล่าวนั้น คือการลิขิตของพระองค์ผู้ทรงเกียรติและปรีชาญาณ" ขณะนั้นเอง อัสอัด ฏูบฏอนีย์ ชาวแอลบาเนียก็ก้าวออกมาเบื้องหน้าพร้อมกล่าวขึ้นว่า "ประชาชาติได้ถอดพระองค์ออกจากพระราชอานาจแล้ว" เมื่อท่านได้ยินคำพูดเช่นนี้ สุลฏอนอับดุลหะมีดก็กริ้วและกล่าวว่า "ถ้าท่านมุ่งหมายจริงๆ ว่าประชาชาติได้ถอดฉันออกจากตาแหน่งแล้ว นั่นคงไม่เป็นไร แต่ทว่าด้วยเพราะเหตุอันใดพวกท่านจึงได้นำยิวครุซโซผู้นี้เข้ามายังสถานที่แห่งเคาะลีฟะฮฺด้วย" (อัสรอร อัลอิงกิลาบ อัลอุษมานียะฮฺ หน้า 100,101) ภายหลังการรัฐประหารโค่นล้มซึ่งชาวยิวมีบทบาทอย่างใหญ่หลวง พวกยิวก็หายใจหายคอได้คล่องขึ้น พวกมาโซนิคก็บรรลุผลสมประสงค์ แผนการถอดสุลฏอนอับดุลหะมีดก็ประสบความสำเร็จ มุหัมมัดที่ 5 (Mehmed VI)1 ก็ถูกสถาปนาขึ้น เป็นสุลฏอนที่มีฐานะเป็นเพียงแค่สัญลักษณ์เท่านั้น (เราจึงถือได้ว่า การถอดถอนท่านเคาะลีฟะฮฺอับดุลหะมีดที่ 2 นั่นคือการจบสิ้นการปกครองแบบคิลาฟะฮฺในสมัยอุษมานิยะฮฺไปแล้วตั้งแต่บัดนั้น) และระยะเวลาที่อยู่ระหว่างการถอดสุลฏอนกับการประกาศสิ้นสุดระบอบการปกครองแบบคิลาฟะฮฺนั้นเป็นเพียงช่วงเวลาที่ทำให้แผนการของไซออนิสต์มีความสมบูรณ์สำหรับการทำลายล้างระบอบเคาะลีฟะฮฺอันเป็นที่มั่นสุดท้ายที่สำคัญของโลกอิสลามเท่านั้น
อ้างจาก วรสารสมิอนา วาอาตออนา 8 ปีที่ 3
เป็นประโยชน์มากครับ ขอบคุณครับ ญาซากัลลอฮุคอยรอนครับ
ตอบลบญาซากัลลอฮุคอยรอน+++++
ตอบลบ