หลักการบริหารจัดการในอิสลาม
การบริหารจัดการในอิสลามมีลักษณะพิเศษหลายประการในทฤษฎี
ซึ่งการบริหารจัดการในอิสลามได้ให้ความสนใจที่ส่งผลต่อการบริหารจัดการทุกๆด้าน
ไม่ว่าจะอยู่ในรูปของปัจจัยภายในขององค์การหรือปัจจัยภายนอกองค์การ ตลอดจนตัวแปรทางด้านจริยธรรมของคนงานและวิถีชีวิตของตนเองและสังคม
ในอีกแง่หนึ่งคือ
ทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลามได้บรรจุคุณค่าของสังคมดังกล่าวถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง และมีอิทธิพลต่อจริยธรรมการบริหารจัดการและการปกครองในอิสลามมีจริยธรรมนั้นก็หมายความว่าสังคมอิสลามมีจริยธรรมจากการเรื่องที่ได้กล่าวมาข้างต้นนั้น
ย่อมแสดงว่าทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลามประกอบด้วยคุณลักษณะเฉพาะได้แก่
1.
ทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลามเป็นทฤษฎีที่มีความผูกผันกับปรัชญาสังคมอย่างเน้นแฟ้น
ทฤษฎีนี้ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับจริยธรรมและคุณค่าต่างๆของสังคม
2.
ทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลามจะมองถึงการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจรวมทั้งการให้บริการเพื่อตอบสนองความต้องการทางกายภาพของปัจเจกบุคคลทุกคน
(การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและวัตถุ)
3.
ทฤษฎีบังคับให้ความสำคัญต่อการเป็นมนุษย์และจิตใจและให้เกียรติมนุษย์ ในฐานะเป็นเป็นผู้ที่มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ ความสามารถที่ตนมีอยู่ ไม่ว่าความสามารถทางด้านสติปัญญา ร่างการและจิตใจ (การเปลี่ยนแปลงของตัวบุคคล)
4.
นอกจากนั้นแล้วทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลามทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลาม
ให้ความสำคัญต่อระเบียบวินัยพร้อมทั้งได้กำหนดภาระหน้าที่และความรับผิดชอบของโครงสร้างการบริหารองค์การ
ขณะที่เรียกร้องเพื่อให้การดำเนินงานที่ดีทุกอย่างได้รับการปฏิบัติตาม
(การเปลี่ยนแปลงทางด้านจริยธรรมและกฎระเบียบ)
คุณลักษณะเฉพาะทั้ง 4
ทีได้กล่าวมาสามารถกล่าวให้ละเอียดดังนี้
1.
การบริหารจัดการในอิสลามเป็นส่วนหนึ่งของระบบทางสังคม
ศาสนาอิสลามกำหนดเป้าหมายชีวิตของทุกคน
ขณะที่อิสลามได้เสนอรูปแบบดุลยสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับจักรวาล
และมนุษย์กับสังคมโดยคำนึงว่าองค์การที่ระบุถึงความสัมพันธ์ระว่างมนุษย์กับจักรวาล พระองค์ทรงตรัสว่า มนุษย์เป็นส่วนของจักรวาล
$tBur àMø)n=yz £`Ågø:$# }§RM}$#ur wÎ) Èbrßç7÷èuÏ9 ÇÎÏÈ !$tB ßÍé& Nåk÷]ÏB `ÏiB 5-øÍh !$tBur ßÍé& br& ÈbqßJÏèôÜã ÇÎÐÈ
ความว่า
“และข้าไม่ได้สร้างญินและมนุษย์เว้นแต่เพื่อภักดีต่อข้า ข้าไม่ประสงค์ริซกีย์
(ปัจจัยยังชีพ) จากพวกเขา
และไม่ประสงค์ให้อาหารแก่ข้า” (อัล-ซาริยาต 51: 56-57)
ö@è% ¨bÎ) ÎAx|¹ Å5Ý¡èSur y$uøtxCur ÎA$yJtBur ¬! Éb>u tûüÏHs>»yèø9$# ÇÊÏËÈw y7ΰ ¼çms9 ( y7Ï9ºxÎ/ur ßNöÏBé& O$tRr&ur ãA¨rr& tûüÏHÍ>ó¡çRùQ$# ÇÊÏÌÈ
ความว่า
“จงกล่าวเถิดแท้จริงการละหมาดของฉัน การอีบาดะฮฺของฉัน
การมีชีวิตของฉันและการตายของฉันทั้งปวงนั้นเพื่ออัลลอฮ
พระเจ้าแห่งสากลจักรวาลไม่มีสำหรับพระองค์การตั้งภาคีดังกล่าวนั้นถูกฉันใช้
และฉันเป็นคนแรกที่เป็นอิสลาม (การมีชีวิตของฉันและการตายของฉันทั้งปวงนั้นเพื่ออัลลอฮ
พระเจ้าแห่งสากลจักรวาลไม่มีสำหรับพระองค์การตั้งภาคีดังกล่าวนั้นถูกฉันใช้
และฉันเป็นคนแรกที่เป็นอิสลาม (ภักดีต่ออัลลอฮ) (อัล-อันอาม 6 : 162-163)
อัลลอฮได้กล่าวถึงกฎเกณฑ์และระเบียบการดำรงชีวิตในลักษณะที่เป็นสังคมส่วนรวมทั้งนี้ก็เพื่อกำหนดเป็นวิถีชีวิตของมนุษย์ในด้านการบริหารจัดการ การเมือง
สังคมและเศรษฐกิจซึ่งเป็นการบริหารจัดการที่มีความเหมาะสมที่สุดในฐานนะเป็นบ่าวของพระองค์การประกอบอีบาดะฮฺไม่ใช่เป็นการตัดขาดความสัมพันธ์กับโลกแห่งการทำงาน
การประกอบอิบาดะฮฺก็ไม่ใช่ว่าจะต้องให้ความสำคัญต่อภารกิจโลก ช่วงเวลาเดียวกันทำให้สถานภาพของตนเองในฐานะเป็นมนุษย์ที่พระองค์ทรงส่งมายังโลกนี้เพื่อเป็นผู้พัฒนาและทำให้โลกนี้มีความอุดมสมบูรณ์และเป็นผู้เผยแพร่กฎเกณฑ์ของพระองค์ต้องหมดไป
$tBur àMø)n=yz £`Ågø:$# }§RM}$#ur wÎ) Èbrßç7÷èuÏ9 ÇÎÏÈ
ความว่า “และข้ามิได้สร้างญิน และมนุษย์เพื่ออื่นใด
เว้นแต่เพื่อเคารพภักดีต่อข้า” (อัซซาริยาต
51 : 56)
แท้จริงแล้วการประกอบอิบาดะฮนั้นจะครอบคลุมกิจการงานทุกอย่างที่นำมาซึ่งประโยชน์ในการดำเนินชีวิต
การประกอบอิบาดะฮนั้นนับได้ว่า “เจ้าต้องการไหม หากฉันจะบอกถึงอิบาดะฮที่ง่ายที่สุด
(ท่านจึงกล่าวต่อไปว่า) นั้นคือการเงียบและมีจริยธรรมที่ดีงาม หะดิษบทนี้รายงานโดย อิบนู อบีดุนยา
คัดจากซุฟวาน บินสุไลมฺ ส่วนอิบาดะฮฺที่สุดยอดที่สุดคือ การญิฮาดในแนวทางของอัลลอฮ
และการญิฮาดของอัลลอฮไม่ได้หมายถึงการตัดคอศัตรูด้วยคมดาบ แต่มันครอบคลุมกิจงานทุกอย่าง
กระทั่งคนที่ออกจากบ้านไปทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพครอบครอบก็นับว่าเป็นการต่อสู้ในหนทางอัลลอฮ
หน้าที่ประการแรกขององค์กรในสังคมอิสลามคือ
การจัดเตรียมสภาพที่เหมาะสมกับความเป็นอยู่แก่ทุกปัจเจกบุคคล
ในฐานะเป็นบ่าวของอัลลอฮบนหน้าแผ่นดินนี้
นอกจากนั้นแล้วยังต้องเปิดโอกาสให้แก่เขาในการปฏิบัติตามหลักการของอัลลอฮที่ระบุไว้ในกุรอานและซุนนะฮฺของท่านเราะซูล
การประกอบอิบาดะฮฺต่ออัลลอฮในความหมายที่กว้าง
จะไม่เกิดขึ้นมาเว้นแต่มนุษย์จะต้องให้กิจการงานของการดำเนินชีวิต ทุกคำพูดและการกระทำ
กิจกรรมการงานและความสัมพันธ์กับคนหมู่มากจะสอดคล้องกับกฎเกณฑ์และหลักการที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ในฐานะเป็นวินัยของการดำเนินชีวิตของมุสลิม
การดำเนินการตามกฎเกณฑ์หรือหลักการของอัลลอฮฺดังกล่าวนั้นจะเริ่มจากสถาบันครอบครัวเป็นพื้นฐานของสังคมจากนั้นได้รับการสนับสนุนจากปัจจัยอื่นๆเช่นปัจจัยทางเศรษฐกิจ
การเมืองและการจัดการ
เมื่อวิถีชีวิตดังกล่าวได้รับการยึดถือโดยสังคมแล้ว
จะทำให้เกิดองค์การทางการบริหารต่างๆที่มีสมาชิกองกรค์ อันประกอบไปด้วยผู้บริหารผู้ปกครองที่มีความศรัทธา
การดำเนินงานของพวกเจ้ามีความรับผิดชอบ ความซื่อสัตย์สุจริต
การปฏิบัติตามคำสั่งของอัลลอฮฺทุกประการและละเว้นสิ่งที่พระองค์ทรงห้าม
ขณะนั้นกิจการงานทุกอย่างจะดำเนินไปด้วยความเป็นระเบียบเรียบร้อย ยุติธรรม สมดุล
และสอดคล้องกับความต้องการสังคมอิสลามและหลักยึดมั่น(อะกีดะฮฺ)ตลอดจนคำสอนของพระองค์
2.
การจัดการในอิสลามมีความรับผิดชอบในการดำเนินงานเพื่อตอบสนองความต้องตามวัตถุประสงค์ของคนงานตราบใดทีเขาทำงานเต็มที่ความรับผิดชอบ
อะมานะฮฺและหน้าที่ความรับผิดชอบจะต้องได้รับการดำรงตำแหน่งโดยผู้ที่ความสามรถและความเหมาะสมที่สามารถเชื่อถือได้
ดังคำดำรัสของอัลลอฮฺ
( cÎ) uöyz Ç`tB |Nöyfø«tGó$# Èqs)ø9$# ßûüÏBF{$# ÇËÏÈ
ความว่า “แท้จริงคนดีที่ท่านควรจะจ้างเขาไว้คือผู้ที่แข็งแรง
ผู้ที่ซื่อสัตย์” (อัลเกาะศ็อด 28 : 26)
ขณะเดียวกันกับบุคคลที่มีความเชี่ยวชาญดังกล่าวนั้นจะต้องน้อมรับสิทธิต่างๆของอัลลอฮฺด้วนความเต็มใจและบริสุทธิ์ใจ
โดยไม่มีความเห็นแก่ตัว
ห่างไกลจากทุกสิ่งที่จะนำไปสู่การกระทำอธรรมและไม่ใช่อำนาจไปในทางที่ผิด เช่น
คอรัปชั่น เป็นต้น คนงานทุกคนจะต้องได้รับความผิดชอบในงานที่ตนทำ
โดยพิจารณาจากโลกดุนยานี้ ก่อนจะถูกพิจารณาจากอัลลอฮฺในวันอาคีเราะฮฺ
เมื่อใดที่หน้าที่การงานได้รับการตอบสนองอย่างเต็มความรับผิดชอบและความริสุทธ์ใจแล้ว
ทางฝ่ายผู้มีอำนาจไม่ว่าผู้นั้นจะอยู่ในฐานะผู้จัดการหน่วยงานที่เป็นของรัฐหรือหน่วยงานเอกชนก็ตาม
เขาจะต้องจ่ายค่าตอบแทนอย่างคุ้มค่าที่สุดแก่คนงานหรือเจ้าหน้าที่ที่อยู่ภายใต้การบริหารงานของเขา
ซึ่งอิสลามได้พูดถึงเรื่องนี้แล้ว โดยคนงานจะต้องได้รับรู้ว่าค่าตอบแทนของตนได้รับเท่าไร
ท่านนบีมูฮัมหมัด (ศ็อล) กล่าวว่า
ความว่า “ผู้ที่ทำธุระกับคนใดคนหนึ่งเพื่อทำงานใดๆนั้น
เขาต้องบอกจำนวนค่าตอบแทนของเขา”
ทฤษฎีการบริหารจัดการในอิสลามยังได้เสนอผู้บริหารทุกคนดำเนินการบริหารอย่างนิ่มนวล
โดยปราศจากการบังคับขู่เข็ญให้คนงานทำงานนอกเหนือความสามรถของเขา
ศาสนาอิสลามไม่อนุมัติให้ผู้ปกครองหรือผู้จัดการหรือผู้ใช้แรงงานใช้อำนาจอิสระตามอำเภอใจ
เช่นการออกคำสั่งให้คนงานทำงานนอกเหนือความสามารถที่ตนมีอยู่
และจ่ายค่าตอบแทนให้แก่เขาอย่างไม่เป็นธรรม
อาศัยความเข้าใจเช่นนี้จึงเกิดความขัดแย้งระหว่างฝ่ายบริหารกับคนงาน
ผู้ปกครองอิสลามมีหน้าที่ในการปกครองสิทธิต่างๆของปัจเจกคนให้พ้นจากการล่วงละเมิดหรือถูกระทำอธรรม
เรื่องนี้เป็นหน้าทีของรัฐอิสลามที่จะต้องมีความรับผิดชอบในการจัดเตรียมศาลสถิตยุติธรรมที่ทำหน้าที่ในการพิจารณาให้เป็นธรรมในกรณีแรงงานและคนงาน
3. หลักการชูรอและการร่วมมือในการบริหารจัดการ
รวมทั้งการให้เกียรติต่อคุณค่าการเป็นมนุษย์ (คนทำงาน)
ก.
ชูรอ
ชูรอถือเป็นกระบวนการที่มั่นใจได้ว่าสามารถสร้างความมั่นคงแข็งแรงและเกิดความสอดคล้องในการบริหารจัดการอิสลาม
ขณะที่มีความร่วมมือถือว่าเป็นสิ่งจำเป็นในการยึดถือปฏิบัติโดยตลอด
สิ่งนี้เราเห็นได้จากคำดำรัสของอัลลอฮฺ ทรงตรัสว่า
öNèdöÍr$x©ur Îû ÍöDF{$#
ความว่า “และจงปรึกษาหารือกับพวกเขาในกิจการทั้งหลาย (อัลอิมรอน 3 : 159)
อัลลอฺทรงตรัสอีกว่า
öNèdãøBr&ur 3uqä© öNæhuZ÷t/
ความว่า “และกิจการของพวกเขามีการปรึกษาหารือระหว่างพวกเขา(อัลอาชูรอ 3 : 38)
ข.
ผู้นำแห่งมนุษย์ชาติ
ความเป็นผู้นำในการบริหารจัดการอิสลาม
นำว่าเป็นปัจจัยสำคัญพื้นฐาน
และจะต้องมีทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ในการบริหารซึ่งไม่ใช่เป็นผู้นำแบบเผด็จการ
แต่ความเป็นผู้นำจะต้องให้ความสำคัญกับกลุ่มคนในทุกระดับชั้น
และพร้อมที่จะปรับปรุงแก้ไขความบกพร่องหากปรากฏอยู่ในองค์การ
ในเรื่องความเป็นผู้นำในอิสลามมีความใกล้ชิดกับการบริหารตามสถานการณ์ ซัยดินาอุมัร
ได้อธิบายรูปแบบการบริหารรูปแบบดังกล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่สามารดำเนินการได้
เว้นแต่ต้องอาศัยความอ่อนโยนกับผู้ที่แข็งแกร่งและต้องอาศัยความแข็งกร้าวกับผู้ที่อ่อนโยน”
ความเป็นผู้นำในอิสลามไม่ได้อยู่ที่ผลผลิตเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
และไม่ใช่หวังประโยชน์ส่วนตัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่จะเป็นการสร้างความสมดุลระหว่างทั้งสองอย่างยุติธรรมต่างหาก(อะหมัด
อิบรอฮีม อบูซิน, 2553: 46)
อ้างจาก การมีส่วนร่วมในการบริหารจัดการมัสยิดของคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิด
กรณีศึกษา ตำบลปากบาง อำเภอเทพา จังหวัดสงขลา,ฆอซาฟี มะดอหะ,มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา