จากเด็กชนบทธรรมดาคนหนึ่ง ที่เห็นความเป็นไปอันพิกลพิการของศาสนาและความเป็นตัวตนของประเทศตนเอง ยอมเสียที่จะละทิ้งความสะดวกสบาย ในโรงเรียนรัฐที่ถูกหยาบโลน ไปด้วยระบอบของ อตาเติร์ก อันเป็นระบอบที่ทำลายอาณาจักรอิสลามแห่งสุดท้ายลงเมื่อ 70 ปีก่อนนั้น (อาณาจักรอุษมานียะฮฺหรือออตโต มันมีอำนาจปกครองอยู่ในช่วง ค.ศ.1453-1923) ทำให้เด็กชายตัวเล็กๆคนหนึ่งขอผู้ซึ่งเป็นบิดาให้ส่งตัวเองไปเรียนในโรงเรียนศาสนาอันไม่มีเบี้ยเลี้ยงจากรัฐบาลให้ได้หยิบจับกัน ซ้ำยังโดนจับตาจากอำนาจฝ่ายรัฐ ที่จ้องจะเล่นงาน ยกเลิกการเรียนการสอนอีกนั้น เด็กชายผู้นี้เลือกที่จะมาเรียนที่นี้ เพียงเพื่อหวังที่จะหลีกหนีความพิกลพิการทางศาสนาของประเทศและคนตุรกีสมัยนั้น เพื่อที่ว่าตนเองจะได้สัมผัสอิส ลามแม้เสี้ยวเดียวในโรงเรียน ซอมซ่อแห่งนั้นและประเทศ ตนเองที่ไม่มีกลิ่นอายแห่งอิส ลามให้ได้เชยชมแล้วก็ตาม
เด็กชาย ฏอยยิบุดดีน อัรดูฆอน เกิดในปี ค.ศ.1954 ครอบครัวของเขาอพยพมาอยู่เมือง อิสตันบูล หรือเมืองแห่งอิสลาม อดีตเมืองคอนสแตนติโนเปิล ของกษัตริย์คอนสแตนตินแห่งโรมัน ตะวันออก เมืองที่สุลต่านหนุ่มวัย 21 ปี มุฮัมหมัด อัลฟาติฮฺ(Sultan Muhammad Al-Fatih) ได้พิชิตมาจากโรมันเมื่อสมัยโบราณ อัรดูฆอนเติบโตมาในสังคมมุสลิมที่แยกศาสนาออกจากชีวิตปกติประจำวัน(ระบบเซคคิวลาห์ – secularism) เบียดเรื่องศาสนาให้มิด และอุดอู้อยู่แต่ในมัสยิด ไม่ใช่แค่นั้น มุสตอฟา กามาล อตาเติร์ก ผู้ถูกยกย่องว่าเป็นบิดาแห่งตุรกี ใหม่นั้น(หลังจากรับใช้ย ิวโค่นอำนาจคอลีฟะฮฺอุษมานียะ ฮฺในปี 1924 ลงได้) ยังได้บังอาจเปลี่ยนการอะซานในตุรกีให้เป็นภาษาเติร์กอีก และยังสั่งใช้ไม่ให้ผู้หญิงมุสลิมใส่ฮิญาบ(ทั้งที่ตนเองก็อ้างว่าเป็นมุสลิม) ผู้ชายห้ามใส่หมวกตอรบุช(กาปี เยาะห์ชนิดหนึ่ง) หมอนี่ยังได้คิดริเริ่มปฏิรูปประเทศลงเหวลึก ยากจะกู่กลับด้วยการให้ผู้คนคลั่ง ไคล้ชาตินิยมอีกด้วย โรงเรียนทุกแห่งห้ามสอนกุรอานเป็นภาษาอาหรับ ห้ามเรียนภาษาอาหรับ ต้องใช้ภาษาเติร์กเท่านั้น และอีกมากมายแผนการชั่วที่ถูกคิดค้น
อัรดูฆอน ไปสมัครเข้าโรงเรียนชั้นซานาวีย์แห่งหนึ่ง(มัธยม) ในวันหนึ่งคุณครูได้ถามนักเรี ยนว่า ใครละหมาfเป็นบ้าง ช่วยออกมาแสดงให้เพื่อนๆดูหน้าห้องหน่อยสิ… เด็กชายอัรดูฆอน ยกมือและได้ออกมาหน้าห้อง คุณครูจึงเตรียมหนังสือพิมพ์เพื่อปูชั่วคราวให้เขาได้ละหมาด แต่อัรดูฆอนได้ปฏิเสธที่จะใช้มัน เหตุผลที่คุณครูคนนั้นเล่ามาก็คือ เพราะที่หนังสือพิมพ์นั้น มีรูปดาราผู้หญิงอยู่ นับแต่นั้น อัรดูฆอน จึงได้รับฉายาจากครูว่า รอยั๊บ เป็นภาษาตุรกี แปลว่า ผู้มีความเคร่ง วันนี้เราจึงได้รู้จักเค้าคนนี้ในชื่อ รอยั๊บ ฏอยยิบ อัรดูฆอน (Recep Tayyip Erdogan) นายกรัฐมนตรีแห่งประเทศตุรกี
อัรดูฆอน ก้าวเข้ามาในแวดวงการเมือง เมื่อครั้งที่เขายังเป็นหนึ่งในสมาชิกพรรคเรฟะฮฺ พรรคการเมืองแนวคิดอิสลามพรรคแรก หลังอาณาจักรอุษมานียะฮฺล่ม สลายไป นั้นคือการไปอยู่ร่วมกับ ดร.นัจมุดดีน อัรบาฆาน (Dr.Najmuddin(Necmettin) Erbakan) หัวหน้าพรรคผู้เป็นวิศวกรจบจากประเทศเยอรมันแต่มีอุดมการณ์แห่งอิสลามอยู่เต็มอก ท่านได้สั่งสอนเรื่องราวความยิ่ง ใหญ่แห่งอิสลาม อดีตอันรุ่งโรจน์ พร้อมกับประวัติการต่อสู้ของบรรพชนแห่งอิสลาม อัรดูฆอนปลื้มครูคนนี้ของเขามาก แต่นั่นก็เป็นแสงดาวแห่งความหวัง เพียงชั่ววาบเท่านั้น เมื่อพลพรรคของครูของเขาต้องถูกลบออกไปจากวงการด้วยน้ำมือของพวกเซคคิวลาห์ที่ยังเป็นเสียงส่วนมากในตุรกีในวันนั้น อัรดูฆอนไม่เคยลืมเรื่องราวเหล่านี้ เขาเพียรพยายามไต่เต้าวงจรสกปรกนี้ และอาสาค่อยๆเช็ดถูขจัดคราบเหล่านั้นออกจากระบบ ท่านได้รับเลือกให้เป็นนายกเทศมนตรี แห่งเมืองอิสตันบูล เมืองการค้าแห่งตุรกี ประชาชนเลือกท่าน ด้วยเหตุผลหนึ่งก็คือ อัรดูฆอน ไม่เคยมีเรื่องทุจริตปรากฏให้เห็น เลยในชีวิต
ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเป็นนายกเทศมนตรี เมืองอิสตันบูลนั้น ในการปราศรัยครั้งหนึ่งท่านได้ พูดขึ้นว่า “คนเรา จะผสมผสานกันระหว่างมุสลิมกับเซคคิวลาห์กันนั้นไม่ได้ ท่านจะต้องเลือกการเป็นผู้ศรัท ธาเท่านั้น และทิ้งการเป็นเซคคิวลาห์ซะ” และเขาก็ได้ยกกลอนชิ้นหนึ่งของนักสู้มุสลิมคนหนึ่งของตุรกีว่า “มัสยิดนั่นคือค่ายทหารของเรา โดมของมันคือหลุมหลบภัยของเรา ส่วนหอคอยนั้นเล่า คือดาบปลายปืนของเรา และผู้ศรัทธาในที่นั้น คือทหารหาญของเรา…”
ด้วยการกล่าวเช่นนี้เอง เขาจึงได้ถูกทางการจับตัว รถตำรวจล้อมรอบรถที่เขาขึ้นถึง ห้าคัน ผู้คนคับคั่งมืดฟ้ามัวดิน ต่างออกมาแสดงความไม่พอใจและเรียกร้องให้ปลดปล่อยผู้นำของเขาคนนี้ … ขณะที่ห้องสี่เหลี่ยมมืดมิดรอ ท่าอยู่ข้างหน้า อัรดูฆอน กลับออกมาพูดเพียงแค่ท่อนเดียวนั้นคือ ขอให้พวกท่าน(ประชาชน)กลับไปทำงานของท่าน ส่วนฉันก็จะทำงานของฉันเช่นกัน(แม้ ต้องอยู่ในคุก) … ชั่งเป็นคำพูดที่สั้นและสะเทือนหัวใจผู้คนเสียจริงๆ เขากำลังทำงานเพื่อนำอิสลามกลับ มาสู่แผ่นดินและโลกนี้อีกครั้ง และเราก็ต้องทำงานเช่นกัน ทุกคนล้วนมีภาระหน้าที่นี้ คอลีฟะตุลอัรดฺ…
ดูเหมือนอุดมการณ์อิสลามจะไม่เคย หยุดนิ่ง กระแสของมันเพิ่มความเชี่ยวกราด เสมือนคลื่นทะเลในวันพายุ เข้า หนุ่มสาวตุรกีเริ่มกลับเข้าหา อิสลามมากขึ้น พวกเขาละทิ้งความเป็นชาตินิยม เชื้อชาตินิยม และความเป็นเซคคิวลาห์มากขึ้น เมื่ออัรดูฆอนก้าวมาเป็นนายกรัฐมนตรี เขาร่วมมือกับประธานาธิบดีผู้มี แนวคิดอิสลามอีกคน คือ อับดุลลอฮฺ กุล(Abdullah Gul) พวกเขาเริ่มแสดงความเป็นมุสลิ มให้ประชาชนเห็นเป็นตัวอย่าง ภรรยาของพวกเขา เป็นภรรยาผู้นำมุสลิมไม่กี่คนที่สวมฮิญาบ ทั้งๆที่ในประเทศอาหรับหรือประเทศเพื่อนบ้านของเราทางใต้ ต่างก็ไม่กินเส้นกับรสนิยมอิสลามข้อนี้มากนัก ซ้ำร้ายยังได้รู้ว่าผู้นำอาหรับ หลายต่อหลายคนมีภรรยาเป็นคน ต่างศาสนิก นับประสาอะไรกัน ที่จะมาปกครองมวลมุสลิมของตน ตัวอย่างที่โลกได้เห็นก็คือ งานพบปะที่ประเทศฝรั่งเศส ภรรยาของอัรดูฆอน เป็นภรรยาผู้นำประเทศคนเดียวในงานที่แต่งตัวมิดชิด ปกป้องรักษาสิทธิอันงดงามที่พระ เจ้าให้เธอมา ผู้นำที่เป็นบุรุษเพศหลายคนยื่นมือเพื่อที่จะจับมือกับเธอตามธรรมเนียม แต่เธอไม่สนองตอบด้วย เป็นการแสดงออกถึงอุดมการณ์และ มารยาทอันงดงามของอิสลาม ที่หาดูได้ยากมากในโลกของผู้นำ ประเทศมุสลิม
วันที่ 30 ม.ค.2009 ในการประชุมเวิล์ด อีโคโนมิค ฟอรัม ที่กรุงดาวอส สวิตเซอร์แลนด์ นายกรัฐมนตรีอัรดูฆอน ถูกให้ขึ้นเวทีพร้อมกับประธานาธิ บดีอิสราเอล ชีมอน เปเรส นายเปเรสได้ใช้เวลาอย่างยาวนานในการอธิบายเหตุผลที่เขาต้องทำสงครามกับฆ๊อซซะ และประเทศฟาลิสฏีน อัรดูฆอนนั่งฟังอย่างนิ่งเงียบ สีหน้าจ้องมองคนทางซ้ายมือของเขา อย่างขึงขัง และเขาทำให้ทั่วโลกต้องตกตะลึงเมื่อเขาขออภิปรายเพิ่มเติมหลังจากเปเรส อัรดูฆอน พูดขึ้นว่า …
…คุณเปเรส คุณน่ะแก่กว่าผม เสียงของคุณดังมาก ที่คุณพูดเสียงดังก็คงเกิดจากความ รู้สึกผิดที่ติดสันดานการ เป็นอาชญากรสังหารมนุษย์ของ คุณนั่นเอง เสียงของผมไม่อาจดังเช่นนี้ได้ เรื่องการฆาตกรรมน่ะ คุณรู้ดี และเมื่อถึงเวลาที่จะต้องฆ่า คุณก็รู้วิธีพวกนี้ดี คุณฆ่าประชาชน (ชาวปาเลสไตน์)ผมยังจำภาพเด็กที่ นอนตายอยู่บนชาดหาดได้
และผมยังจำได้ว่า อดีตผู้นำอิสราเอล 2 คนของคุณ ได้พูดสิ่งสำคัญบางอย่างให้ผมรู้ คุณมีนายกรัฐมนตรีผู้ที่บอกว่า เมื่อเราได้รุกเข้าไปในฟาลีสฏีนด้วยรถถัง เขารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอประณามทุกคนที่ปรบมือเชียร์ การเข่นฆ่าและก่ออาชญากรรม ต่อชาวฆ๊อซซะ ที่พวกคุณพากันปรบมือสนับสนุนการเข่นฆ่าลูกเล็กเด็กแดงนั้น สำแดงให้ประจักษ์ว่าพวกคุณคือพวกที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน…
และผมยังจำได้ว่า อดีตผู้นำอิสราเอล 2 คนของคุณ ได้พูดสิ่งสำคัญบางอย่างให้ผมรู้ คุณมีนายกรัฐมนตรีผู้ที่บอกว่า เมื่อเราได้รุกเข้าไปในฟาลีสฏีนด้วยรถถัง เขารู้สึกมีความสุขยิ่งนัก
นอกจากนี้ ข้าพเจ้าขอประณามทุกคนที่ปรบมือเชียร์ การเข่นฆ่าและก่ออาชญากรรม ต่อชาวฆ๊อซซะ ที่พวกคุณพากันปรบมือสนับสนุนการเข่นฆ่าลูกเล็กเด็กแดงนั้น สำแดงให้ประจักษ์ว่าพวกคุณคือพวกที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน…
อัรดูฆอน ถูกสั่งจับตายจากตำรวจลับของอิสราเอล(หน่วยมอสสาด) แต่ไม่สำเร็จ อิสราเอลมองว่า นายกรัฐมนตรีนิยมอิสลามผู้นี้ไม่เหมือนผู้นำโลกมุสลิมคนอื่นๆ ที่ว่านอนสอนง่าย หรือ ที่มีอุดมการณ์หน่อย ก็เป็นชาตินิยมหรือคลั่งไคล้เชื้อชาติไป ซึ่งไม่ได้มีพิษมีภัยอะไรต่อพวกยิว
ย้อนกลับไปในปี ค.ศ.1453 สุลต่าน มุฮัมหมัด อัลฟาติฮฺ วัย 21 ปี ได้ทำให้ความฝันของตนเองและสิ่ง ที่มวลมุสลิมทุกคนรอคอยสำเร็จ นั้นคือคำกล่าวของท่านนบีเราที่ ว่า กรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิต และกองทหารที่พิชิตนี้ เป็นกองทหารที่ดียิ่ง… มุฮัมหมัด บิน มุร็อด ในวัยเด็กยังจำคำสอนของครูส่วน ตัวของเขาได้ดี และยังจำวันวานที่ครูของเขาชอบที่จะนำมาเที่ยวชายหาดสม่ำเสมอ ครูของเขามักจะชี้ไปฝั่งแผ่นดินคอนสแตนติโนเปิลและเล่าหะดีษนบีบทนี้อยู่เสมอๆ มุฮัมหมัดจำฝังใจและต้องการเป็น ผู้นำของกองทหาญหารนั้น จากเมืองของจักรพรรดิคอนสแตนติ น(คอนสแตนติโนเปิล)มาเป็นอิส ตันบูล(แปลว่าเมืองแห่งอิส ลาม) ตามที่มุฮัมหมัดได้ตั้งไว้นั้น แรงบันดาลใจมาจากคำพูดของท่านน บีของพวกเรานี่ล่ะ อุษมานียะฮฺปกครองตุรกีและแผ่นดินมุสลิมทั้งมวล 600 กว่าปี จนถูกมุสตอฟา กามาล อตาเติร์ก โค่นล้มไปนั้น มาวันนี้ ชายที่ชื่อ อัรดูฆอนกำลังจะนำความยิ่งใหญ่น ี้กลับมาอีกครั้งหนึ่ง
วันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ.2553 ในเหตุการณ์ หน่วยคอมมันโดอิสราเอลขึ้นไปถล่ม เรือบรรเทาทุกข์ของคณะทำ งานสิทธิมนุษยชนจากหลายประเทศ ที่จะขนส่งปัจจัยในการดำรง ชีพที่สำคัญ แก่ฆ็อซซะและชาวฟาลิสฏีนนั้น มีผู้เสียชีวิตหลายคน นายกรัฐมนตรีอัรดูฆอนแห่งตุรกี ซึ่งเป็นเจ้าภาพคณะทำงานสิทธิมนุษย ชนนี้นั้น ได้ประกาศให้มีการละหมาดญะนาซะฮฺ ทั่วประเทศ และนำมายัตทั้งหมดไปละหมาดที่มัสยิดสีน้ำเงินซึ่งเป็นมัสยิดที่สำคัญมากที่สุดแห่งหนึ่งของอาณาจักรอิสลามอุษมานียะฮฺ ทำไมต้องละหมาดที่นี่… อัรดูฆอนกำลังทำบางสิ่งบางอย่าง เพื่อเป็นสัญลักษณ์ที่จะบอก แก่ชาวโลกโดยเฉพาะชาวมุสลิ มทั้งหลายว่า ควรทำอะไร และ เตรียมตัวพร้อมหรือยัง กับการเดินตามอุดมการณ์แห่งนัก รบมุสลิมในอดีต ที่ต่อสู้กับความอยุติธรรมทั้งหลาย การต่อสู้ของผู้นำคนนี้เป็นสัญลักษณ์ใหม่ที่พวกเราต้องติดตาม และช่วยกันขอดุอาอฺเหมือนดั่งเช่นที่มุสลิมอีกหลายล้านคนกระทำ พี่น้องของเขา เรือนร่างเดียวกันของเขา อยู่ทุกหนทุกแห่งบนโลกใบนี้ เป็นภาระหน้าที่ของเราที่จะต้องทำการปลดปล่อย เพื่อที่เราจะได้เป็นมุอฺมินคน หนึ่ง ที่จะมีผลงานแสดงต่อพระเจ้าของ เราในวันโลกหน้า
เราอาจจะได้ยินข่าวหรือการวิจารณ์ อย่างรุนแรงต่ออัรดูฆอนและ ตุรกี ว่าเป็นประเทศมุสลิมที่แปลกและ มีข่าวในเรื่องการสั่งห้ามใส่ ฮิญาบให้ผ่านหูกันบ่อยๆ แต่ใครจะรู้บ้างว่า นายกรัฐมนตรีคนนี้กำลังต่อสู้อย่างลับๆด้วยอุดมการณ์อิสลามของเขาและเพื่อนๆ หนุ่มสาวมุสลิมในตุรกีเริ่มจับ กลุ่มสร้างฮาลากอฮฺ พูดคุยเรื่องอิสลามอย่างเข้มข้นในที่ลับๆ ทั้งๆที่ศาลและตำรวจออกกฏหมายห้าม แต่นายกรัฐมนตรีกลับอนุญาติ เมืองนี้อำนาจศาลและตำรวจ ยังเป็นเซคคิวลาห์นั้นอาจจะเป็น ขวากหนามกีดกันการทำงานของ อัรดูฆอนก็จริงอยู่ แต่เขาก็ฉลาดที่จะเลือกกระทำสิ่งต่างๆให้โลกได้เห็นเช่นที่เราได้รับรู้กัน เพราะจะไม่แปลกเลยหรอที่นายกรัฐมนตรี มุสลิมคนหนึ่ง ชอบที่จะนำภรรยาตนเองออกงาน(เมื่อจำเป็น)และทั้งเขาและเธอก็แสดงออกถึงความเป็นมุสลิมอย่างอิ่มเอมใจ ภรรยาของเขาใส่ฮิญาบปกปิดมิดชิด แต่ในประเทศตนเองนั้น กลับมีการห้ามใส่ฮิญาบกันเป็นปกติ… ประเทศแห่งนี้ นายกรัฐมนตรีคนนี้ และการกระทำของเขา มีอะไรหลายอย่างที่ทำให้ยิวนั้นหวาดกลัวขึ้นมาจับใจ ขณะเดียวกันก็สร้างความชุ่มชื่น แก่หัวใจมุสลิมอีกหลายล้าน คน ที่เบื่อหน่ายกับผู้นำมุสลิมใน โลกอาหรับที่กินอยู่ฟู่ฟ่า ไม่สนใจพี่น้องตนเอง รอการลงโทษจากพระเจ้า เช่นที่ คุณลุงคนหนึ่งนามว่า ฮิลมี มาดาคุร คนงานในโรงงานพลาสติก กรุงไคโร ประเทศอียิปต์ ฝากทิ้งท้ายให้พวกเราได้เอามา นั่งคิด คือ
“ผู้นำอาหรับทั้งหลายควรที่จะ เอานายกอัรดูฆอนเป็นแบบอย่าง คือความกล้าหาญและความจริงใจใน ตัวเขา… เขาไม่ไช่คนอาหรับ แต่เขาก็ได้ปกป้องชาวฟาลิสฏีนอย่างแข็งแกร่งและกล้าหาญ มากกว่าพวกผู้นำอาหรับเสียอีก ผมหวังว่าเขาจะนำระบอบคีลาฟะฮฺกลับมา” … Gulf News
ระบบคีลาฟะฮฺเชียวนะ…ระบบการปกครองจากพระเจ้าที่มีคอลีฟะฮฺเป็นผู้รับอามานะฮฺสูงสุดบนโลก นี่เรากำลังจะได้เจอผู้ปกครองที่ใช้ชีวิตสมถะคล้ายๆ อย่างท่านอบูบักรผู้ฉลาดปราดเปรื่อง ท่านอุมัรผู้แก่นกล้า ท่านอุษมานผู้อ่อนโยน และท่านอาลีผู้กล้าหาญเลยนะ จะนิ่งเฉยไม่ขอมีส่วนร่วมกับอัรดูฆอนเลย ก็คงจะดูใจร้ายมากไปหน่อยแล้วล่ะ พี่น้อง…
ศจ.ดร.นัจมุดดีน อัรบากาน (ขออัลลอฮฺทรงตอบแทนท่าน)
ผู้นำตุรกี(ช่วง ค.ศ.1996-1997) ที่ถูกทหารและศาลซึ่งเป็นเซคคิว ลาห์ ตามฟ้องร้องให้ยุบถึงหลายพรรค และตนเองต้องถูกแบนจากการเมือง 5 ปี ข้อหาคือ กระทำการหลายกรณีซึ่งเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญระบอบเซคคิวลาห์ ส่วนหนึ่งในนั้นคือ การสวมฮิญาบของภรรยาของเขาและ ผู้คนที่ชื่นชอบเขา เพราะว่า รัฐธรรมนูญตุรกีถือว่าการสวมฮิญาบคือ สัญลักษณ์ต่อต้านระบอบเซคคิวลาห์…
ผู้นำตุรกี(ช่วง ค.ศ.1996-1997) ที่ถูกทหารและศาลซึ่งเป็นเซคคิว ลาห์ ตามฟ้องร้องให้ยุบถึงหลายพรรค และตนเองต้องถูกแบนจากการเมือง 5 ปี ข้อหาคือ กระทำการหลายกรณีซึ่งเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญระบอบเซคคิวลาห์ ส่วนหนึ่งในนั้นคือ การสวมฮิญาบของภรรยาของเขาและ ผู้คนที่ชื่นชอบเขา เพราะว่า รัฐธรรมนูญตุรกีถือว่าการสวมฮิญาบคือ สัญลักษณ์ต่อต้านระบอบเซคคิวลาห์…
มัสยิดสีน้ำเงินหรือมัสยิดสุลต่านอะหฺมัด(Sultan Ahmed l Reign 1603–1617 )
ขอพระองค์ทรงตอบแทนข้อมูลทรงคุณค่าจาก รุ่งอรุณ เเห่งอิสลาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น