1. อาชีพ
อาณาประชาราษฎร์ของราชอาณาจักรออตโตมานในชนบทส่วนใหญ่เป็นชาวนาปลูกข้าว ฝ้าย องุ่น มะกอก ส้ม พื้นที่ที่มีความอุดมสมบูรณ์ในการเพาะปลูกได้แก่อียิปต์ ซีเรีย และแคว้นต่างๆ รอบๆ ทะเลดำ ส่วนในเมืองประชาชนมีอาชีพค้าขาย ค้าขายภายในประเทศและค้าขายกับต่างประเทศ ในสมัยสุลต่านเมห์เมดที่ 2 พระองค์ผูกขาดสินค้าบางประเภท เช่น เกลือ สบู่ และเทียนไข
อาชีพอีกประเภทหนึ่งของชาวออตโตมานก็คือ การเป็นช่างประเภทต่างๆ เพราะสุลต่านแต่ละพระองค์มีการสร้างอาคารต่างๆ กัน เช่น สร้างพระราชวัง มัสยิด โรงพยาบาล ที่พักกองคาราวาน ที่อาบน้ำสาธารณะ สุสาน ในการก่อสร้างอาคารดังกล่าวก็จำเป็นต้องอาศัยช่างประเภทต่างๆ ช่างเหล่านั้นมีการรวมตัวเป็นชมรม เป็นสมาคม เพื่อปรับปรุงคุณภาพของงานให้ดียิ่งขึ้น
ส่วนผู้คนที่เร่ร่อนซึ่งอาศัยอยู่ตามภูเขา ทุ่งหญ้า และทะเลทราย มีอาชีพเลี้ยงสัตว์ ทำฟาร์มสัตว์ ล่าสัตว์ สัตว์ที่เลี้ยงส่วนมาก ได้แก่ อูฐ แพะ และแกะ ซึ่งมีผลผลิตเป็นทั้งเนื้อ หนัง นม และน้ำมัน ซึ่งสามารถขายให้ชาวเมืองและข้าราชบริพารของสุลต่านได้ นับว่าเป็นการอำนวยความสะดวกแก่ชาวเมือง
2. ที่ดิน
สุลต่าน เป็นผู้ครอบครองที่ดิน พระองค์ทรงจัดการที่ดินทั้งหมด ให้เป็นไปตามชารีอะห์และกฎหมายของพระองค์ (kanun) สุลต่านให้เกษตรกรเช่าที่ดินเพื่อทำการเกษตร เกษตรกรจะได้รับส่วนแบ่งที่ดินเป็นหน่วย (unit) เรียกว่า “donum” เกษตรกรจะได้รับตั้งแต่ 60-150 donum (1 donum เท่ากับ 1,000 ตารางเมตร) ทั้งมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมต่างมีสิทธิ์ที่จะเช่าที่ดินจากสุลต่านด้วยกัน เกษตรกรผู้เช่าที่ดินจะต้องจ่ายเงิน 22 อักแจ/ปี ไม่ว่าผลผลิตทางด้านการเกษตรจะได้มากหรือน้อยก็ตาม ต่อมาในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 สุลต่านและข้าราชบริพารต้องใช้เงินมาก เกษตรกรต้องจ่ายเงินเพิ่มเป็นปีละ 33 อักแจ และในระยะต่อมาต้องจ่ายถึง 50 อักแจ และถ้าเกษตรกรผู้ใดไม่ทำประโยชน์ในที่ดินเป็นเวลา 3 ปี ที่ดินก็จะถูกโอนให้ผู้อื่นเช่าต่อไป
3. การเงินการคลัง
เกี่ยวกับการเงินการคลังของราชอาณาจักรออตโตมาน มีสำนักงานที่ทำหน้าที่รวบรวมทรัพย์สินเงินทองของสุลต่านของราชอาณาจักร เพื่อดำเนินกิจการต่างๆ เช่น สงคราม การสร้างพระราชวัง การสร้างมัสยิด สำนักงานนี้เรียกว่า “maliye” ในระยะแรกๆ ของการสถาปนาอาณาจักร การจัดการด้านการเงินการคลังยังมีน้อย สุลต่านเก็บทรัพย์สินส่วนพระองค์ในคลังสมบัติของพระองค์เช่นกัน
ในสมัยสุลต่านบายาซิดที่ 1 ได้มีการจัดตั้งกรมพระคลังแห่งอนาโตเลีย เพื่อดูแลทรัพย์สินสุลต่านในเอเซีย ต่อมาภายหลังก็มีการจัดตั้งกรมพระคลังแห่งรูแมลี มีหน้าที่ดูแลทรัพย์สมบัติของสุลต่านในภาคพื้นยุโรป
กรมพระคลังแบ่งออกเป็น 4 แผนก คือ
1) แผนกงานทะเบียน (defterhane)
2) แผนกงานบัญชี (muhasebe)
3) แผนกงานตรวจสอบ (musakabe)
4) แผนกครอบครองที่ดิน (mevkufat)
ต่อมาภายหลังสุลต่านได้ตั้งองค์กรของการคลังกลางในกรุงอิสตันบูล ซึ่งเป็นเมืองหลวงเรียกว่า “กรมพระคลังหลวง” (the imperial treasury department-hazine-i amire dairesi) ทำหน้าที่รายงานเกี่ยวกับเงินสด รวมทั้งภาษีรายหัวของคนที่มิใช่มุสลิม แยกออกระหว่างภาคพื้นยุโรปและภาคพื้นเอเซีย และยังแยกทรัพย์สินที่สุลต่านพระราชทานแก่อุลามาอหรือให้เป็นวากัฟอีกด้วย
4. ระบบภาษี
ระบบภาษีของราชอาณาจักรออตโตมาน ได้เก็บภาษีตามหลักชารีอะห์และตามพระราชบัญชาของสุลต่านในส่วนที่ไม่ปรากฏในชารีอะห์ ภาษที่สำคัญที่สุดตามชารีอะห์ได้แก่
1) ภาษีที่เก็บจากผลผลิตการเกษตร เป็นภาษีหนึ่งในสิบ ซึ่งเก็บ 10%
2) ภาษีรายหัว ซึ่งเก็บจากประชาชนที่ไม่ใช่มุสลิม เก็บตามความสามารถในการจ่าย
3) เงินซากาต รัฐเป็นผู้เก็บเงินซากาตและเป็นผู้บริหารเงินซากาตอีกด้วย
4) ภาษีการค้า เป็นภาษีที่เก็บจากการค้าในตลาด ผู้ตรวจตลาดจะเป็นผู้เก็บภาษีนี้จากพ่อค้า แม่ค้าที่ขายในตลาด
5) ภาษีอื่นๆ นอกจากภาษีดังกล่าวแล้ว ราชอาณาจักรออตโตมานยังเก็บรวบรวมภาษีจากหมู่บ้านเมืองและแคว้นต่างๆ อีกด้วย
5. การค้าขาย
อนาโตเลียเป็นจุดยุทธศาสตร์ทางการเมืองและการค้าในตะวันออกกลางมาตั้งแต่อดีต ในสมัยอาณาจักรมองโกล (mongol empire) อนาโตเลียเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญ ทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมการค้าระหว่างตะวันตกและตะวันออก พ่อค้าวานิชชาวอิตาลีมาทำการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้ากับกองคาราวานพาณิชย์จากตะวันออกไกลและเปอร์เซียที่ท่าเรืออะยาส (ayas) ทางตอนใต้ของอนาโตเลีย และที่เมืองตรับโซน (trabzon) ทางทิศเหนือของอนาโตเลีย ในสมับมองโกลนั้นมีเส้นทางหลวงที่สำคัญสายหนึ่งเชื่อมต่อระหว่างเมืองแอร์ซูรูม (erzurum) เมืองซีวัส (sivas) และเมืองแอร์ซินญาน (erzincan) เส้นทางนี้ถือว่าเป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญซึ่งเชื่อมต่อระหว่างเปอร์เซีย อาหรับ อนาโตเลีย และแยกเส้นทางไปยังเมืองคอนสแตนติโนเปิล โดยทางเรือจากท่าเรือเมืองตรับโซน
ในคริสต์ศตวรรษที่ 13 บนเส้นทางระหว่างเมืองซีวัสและเมืองคอนยามีที่พักแรมหรือที่เรียกว่า “คาราวานสะราย (karvan sarayi)” ของคาราวานพาณิชย์ที่สำคัญถึง 23 แห่งซึ่งมีซากปรักหักพังหลงเหลือจนถึงปัจจุบัน สินค้าหลักจากตะวันออกในสมัยนั้นคือ เส้นไหมจีนและเปอร์เซีย ส่วนจากตะวันตกก็คือ เสื้อผ้าจากเมืองแฟลนเดอร์ (flander) และเมืองฟลอเรนซ์ (florence) ซึ่งนิยมใช้กันมากในหมู่ขุนนางชั้นสูงในตะวันออก อนาโตเลียนอกจากเป็นสะพานเชื่อมการค้าระหว่างตะวันออกกับตะวันตกแล้ว ยังเป็นเส้นทางผ่านสินค้าระหว่างยุโรปตะวันออกกับเหล่ากลุ่มประเทศอาหรับ พ่อค้าชาวอาหรับนำเครื่องเทศ น้ำตาล และผ้ามาแลกเปลี่ยนกับขนสัตว์และทาส ซึ่งเป็นสินค้าหลักของชาวยุโรป
พ่อค้าชาวอิตาลีส่วนใหญ่นิยมส่งสินค้าทางทะเล ส่วนพ่อค้าชาวอาหรับนิยมขนส่งสินค้าทางบก เช่น
- จากเมืองอันตัลยา (antalya) ไปยังเมืองคอนยา (konya) และเมืองซีวัส (sivas)
- จากเมืองอะเลปโป (aleppo) ไปยังเมืองบไกสะรี (kayseri) เมืองซีวัส (sivas) เมืองสิโนบ (sinop) และเมืองซัมซูน (samsun)
เมืองสำคัญต่างๆ ของอนาโตเลียเช่น เมืองซีวัส เมืองไกสะรี เมืองอักสาราย เมืองคอนยา เมืองอะมัสเสียน และเมืองอังการา ล้วนแต่เป็นเมืองศูนย์กลางการค้าของอนาโตเลีย
ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 หลังจากอาณาจักรอิลฮานิด (ilhanid) ในเปอร์เซียล่มสลายพร้อมกับการขึ้นมาของอาณาจักรออตโตมานเติร์กในอนาโตเลียตะวันตก การเมืองและการค้าของอนาโตเลียก็ย้ายมายังอนาโตเลียตะวันตกด้วย โดยมีเมืองบุรซา (bursa) ซึ่งเป็นเมืองหลวงของอาณาจักรเป็นศูนย์กลางทางการเมือง และการค้าของอนาโตเลียนั้นสามารถรวมการค้าระหว่างตะวันออกและตะวันตกเข้าด้วยกัน
ในปี ค.ศ.1391 อาณาจักรออตโตมานเติร์กสามารถครอบครองเมืองสำคัญต่างๆ ในอนาโตเลียตะวันตก เช่น เมืองปาลาเตีย เมืองเอฟิซุส เมืองอิซมิร และเชื่อมเส้นทางเหล่านี้ยังเมืองหลวงบุรซา ทำให้เมืองบุรซามีความสำคัญด้านการพาณิชย์เพิ่มมากขึ้น พ่อค้าชาวเปอร์เซียนิยมนำสินค้าทางเรือมาขึ้นบกที่ทำเรือบุรซาแล้วนำคาราวานสินค้าไปยังเมืองต่างๆ ทางทิศตะวันออก จนถึงเมืองแอร์ซินญาน โดยผ่านเมืองอะมัสเซียและเมืองโตกัต ยกเว้นคาราวานสินค้าเส้นไหมที่นิยมใช้เส้นทางทางบกตั้งแต่เปอร์เซียไปยังเมืองบุรซา
ในคริสต์ศตวรรษที่ 14 เมืองอะมัสเซียและเมืองโตกัตเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในอนาโตเลียรองลงมาจากเมืองหลวงบุรซา
ในปี ค.ศ.1399 สุลต่านบายาซิดที่ 1 ทรงรับสั่งให้เปิดเมืองอันตัลยาและเมืองอะลันยา เป็นเมืองท่าในการรองรับสินค้าของอินเดียและอาหรับที่เข้ามายังอนาโตเลียได้ พ่อค้าวานิชต้องการนำคาราวานไปยังกรุงคอนสแตนติโนเปิลต่อ โดยใช้เส้นทางทางบกก็สามารถใช้เส้นทางหลักระหว่างเมืองอะเลปโปกับกรุงคอนสแตนติโนเปิลที่ผ่านเมืองอะดานา และคอนยาได้อาณาจักรออตโตมานเติร์กยังไม่สามารถครอบครองเมืองท่าต่างๆ ในอนาโตเลียได้อย่างสมบูรณ์จนกว่าอำนาจทางการเมืองของราชวงศ์คารามานในอนาโตเลียสิ้นสุดลง
ในปี ค.ศ.1468 อาณาจักรออตโตมานสามารถควบคุมดูแลเส้นทางการค้าทั้งหมดใน อนาโตเลีย คาราวานพาณิชย์สามารถเดินทางไปยังเปอร์เซีย และจากอาหรับมายังเมืองบุรซาโดยไม่ต้องกังวลในเรื่องความปลอดภัย พ่อค้าชาวยุโรป เช่น ชาวเวนิส ชาวเจนัว ชาวฟลอเรนซ์ บางส่วนก็ทำการค้าที่กรุงคอนสแตนติโนเปิลและกาลาตา ซึ่งเป็นศูนย์กลางการค้าที่สำคัญในแถบเลอวองต์ อย่างไรก็ตามเมืองบุรซาเป็นตลาดที่ใกล้ที่สุดสำหรับพ่อค้าชาวยุโรปที่จะมาซื้อสินค้าตะวันออกและขายสินค้าขนสัตว์ สินค้าชนิดหนึ่งที่มีความสำคัญและสร้างความมั่งคั่งแก่ชาวเมืองบุรซาคือ เส้นไหมเปอร์เซีย เมืองบุรซาเป็นตลาดส่งเส้นไหมเปอร์เซียไปยังเมืองเวนิสและเมืองลุคคาแล้วไปสู่ยุโรปกลาง
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 การพัฒนาอุตสาหกรรมเส้นไหมได้แพร่หลายในยุโรป ทำให้เมืองบุรซากลายเป็นตลาดส่งออกวัตถุดิบเส้นไหมที่สำคัญของยุโรป ในปี ค.ศ.1542 เพียงปีเดียว เมืองบุรซาได้รับภาษีจากการค้าเส้นไหมถึง 43,000 เหรียญทอง เส้นไหมเหล่านี้ส่วนใหญ่มาจากเมือง asterabad และเมือง gilan ทางตอนเหนือของเปอร์เซีย
ถึงแม้ว่าอาณาจักรออตโตมานได้ย้ายเมืองหลวงมายังกรุงอิสตันบูลแล้วก็ตาม แต่เมืองบุรซาก็ยังคงเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของอาณาจักรนับศตวรรษ พร้อมๆ กับเมืองอะเลปโป ซึ่งเป็นแหล่งการค้าเส้นไหมที่เป็นคู่แข่งกับเมืองบุรซา กองคาราวานเส้นไหมจากเปอร์เซียที่มายังเมืองอะเลปโปส่วนใหญ่ใช้เส้นทางผ่านแม่น้ำยูเฟรติสและเมืองแอร์ซูรูม และมีจำนวนไม่น้อยที่ใช้เส้นทางจากเมืองตาบีรผ่านเมืองวัน เมืองบิดลิส เมืองดิยารแบกิร และเมืองบิแรจิก
ในปี ค.ศ.1516-1517 สุลต่านซาลิมที่ 1 สามารถขยายดินแดนไปยังประเทศอียิปต์ ซีเรีย และดินแดนอาราเบียได้ เมืองอะเลปโปจึงเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรออตโตมานนั้น หมายถึงศูนย์การค้าเส้นไหมเปอร์เซียที่ทำการค้ากับยุโรปตกอยู่ในเงื้อมมือของออตโตมานเติร์กทั้งหมด และยังสามารถควบคุมศูนย์กลางการผลิตเส้นไหมเมือง shirvan และเมือง gilan ทางตอนเหนือของเปอร์เซียอีกด้วย
นอกจากเส้นไหมแล้ว ชะมด น้ำเต้า และเครื่องถ้วยชามจีนจากเอเชียกลางก็เป็นสินค้าที่สำคัญเข้ามายังตลาดเมืองบุรซา พ่อค้าเปอร์เซียรับเอาขนสัตว์ยุโรป เครื่องประดับไหม ผ้ากำมะหยี่ เหรียญเงินและทองกลับยังเปอร์เซีย สิ่งเหล่านี้มีค่าสูงมากในเปอร์เซีย โดยทั่วไปแล้วสินค้าที่คาราวานนำมานั้นมีค่าสูง มีราคาแพง แต่มีน้ำหนักน้อยเช่น พวกเครื่องเทศ สีสำหรับย้อม ยาสมุนไพร เส้นไหม และเสื้อผ้า พ่อค้าผู้นำคาราวานจากตะวันออกส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมจากเมืองอะเลปโปและดามากัส ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ราชวงศ์บะฮ์มานีแห่งอินเดียส่งทูตนำสินค้าอินเดียมาค้าขายในตลาดเมืองบุรซาทุกปี
ในคริสต์ศตวรรษที่ 16 โปรตุเกสซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจทางทะเลเข้ามามีบทบาท พยายามสร้างอาณานิคมการค้าในตะวันออก ซึ่งพยายามขัดขวางและตัดเส้นทางกาค้าจากอินเดียและอินโดนีเซียที่มายังตะวันออกใกล้โดยผ่านอ่าวเปอร์เซียและทะเลแดง ไม่เพียงเท่านั้นโปรตุเกสยังเข้ามาสร้างอาณานิคมในคาบสมุทรอาราเบีย โดยเฉพาะในเยแมน และเอเดน แถมยังข่มขู่ที่จะยึดเมืองมักกะฮ์และเมืองมะดีนะฮ์อีกด้วย ออตโตมานเติร์กไม่อาจนิ่งเฉยต่อการกระทำของโปรตุเกสได้ สุลต่านซาลิมที่ 1 ทรงรับสั่งให้กองทัพนาวีขับไล่ชาวโปรตุเกสออกจากแหลมอาราเบีย
ในปี ค.ศ.1517 และปีค.ศ.1525 กองทัพราชนาวีของออตโตมานสามารถขับไล่ชาวโปรตุเกสออกจากแหลมอาราเบียและยึดเมืองเยแมนและเอเดน ซึ่งเป็นเมืองท่าที่สำคัญในแหลมอาราเบีย กองทัพราชนาวีออตโตมานตั้งใจจะขับไล่เรือโปรตุเกสออกจากมหาสมุทรอินเดีย แต่ก็ทำไม่สำเร็จทั้งนี้เพราะว่าไม่ได้รับความร่วมมือจากราชวงศ์ gujerat แห่งอินเดีย อย่างไรก็ตามการค้าระหว่างอินเดียและอินโดนีเซียกับตะวันออกใกล้ก็สามารถดำเนินต่อได้อย่างปกติ ในฤดูพิธีฮัจย์ทุกปีจะมีเรือพาณิชย์บรรทุกเครื่องเทศมากกว่า 20 ลำเข้ามาเทียบท่าที่จิดดะฮ ซึ่งเป็นเมืองท่าของนครมักกะฮ์ หลังจากเสร็จพิธีฮัจย์แล้วกองคาราวานจากเมืองต่างๆ ก็จะกวาดซื้อสินค้าและเครื่องเทศกลับยังเมืองของตน
ในปี ค.ศ.1562 เมืองดามัสกัสสามารถเก็บภาษีจากสินค้าประเภทเครื่องเทศที่คาราวานฮัจย์นำเข้ามาสูงถึง 100,000 เหรียญทอง พ่อค้าชาวยุโรปรับซื้อเครื่องเทศจากเมืองดามัสกัสส่งยังเมืองบุรซาและกรุงอิสตันบูล โดยผ่านเมืองเบรุตแล้วส่งต่อยังเมืองต่างๆ ในแหลมบอลข่าน และเมืองตางๆ ทางตอนเหนือ
ในปี ค.ศ.1590 มีบันทึกว่าพ่อค้าชาวเวนิสเคยนำผ้ามาขายที่กรุงอิสตันบูล และซื้อเครื่องเทศจากอิสตันบูลกลับยังประเทศของตน
เส้นทางการค้าทางทะเลจากท่าเรือในซีเรียและอียิปต์มายังท่าเรือเมืองอันตัลยา เมืองอะลันยา และท่าเรืออิสตันบูลก็มีความสำคัญไม่น้อยกว่าเส้นทางการค้าทางบก มาลูเปียโร ได้บันทึกไว้ว่าเมืองอันตัลยาเป็นเมืองท่าที่สำคัญในการขนส่งเครื่องเทศมายังเอเชียน้อย จากการบันทึกบัญชีภาษีกาค้าในปีค.ศ.1559 ของเมืองอันตัลยา พบว่าในรอบปีมีเรือพาณิชย์เข้ามาเทียบท่าไม่น้อยกว่า 50 ลำ ในแต่ละลำมีพ่อค้าวานิชจำนวน 20-30 คน เจ้าของเรือส่วนใหญ่เป็นมุสลิม และสินค้าหลักที่พ่อค้าเหล่านั้นรับจากเอเชียน้อยบรรทุกส่งไปขายยังซีเรีย และอียิปต์ คือ ไม้ซุง เหล็ก เครื่องมือเครื่องใช้ต่างๆ ที่ทำด้วยเหล็ก เส้นไหมบุรซา ผ้าขนสัตว์อังการา ผ้าฝ้าย พรม ผลไม้แห้ง ขี้ผึ้ง และน้ำมันดิบ ส่วนสินที่พ่อค้านิยมนำมาจากซีเรียและ อียิปต์ คือ เครื่องเทศ และครามอินเดีย ผ้าลินินอียิปต์ ข้าวสาร น้ำตาล และสบู่ซีเรีย ภาษีนำเข้าและนำออกจากสินค้าเหล่านี้ สร้างรายได้แก่เมืองอันตัลยาเป็นจำนวนมหาศาล
นอกจากนี้เมืองอันตัลยายังเป็นศูนย์กลางการค้าทาสโดยจัดส่งทางผิวขาวยังเมืองต่างๆ ทางตอนใต้ และนำเข้าพวกนิโกรทาสผิวดำ อันตัลยาเป็นเมืองท่าที่พ่อค้าทาสวานิชนิยมนำเรือพาณิชย์เข้ามาเทียบท่าแวะชั่วคราวระหว่างทางไปและกลับจากเมืองบุรซา เมื่อท่าเรือของกรุงอิสตันบูลซึ่งเป็นเมืองหลวงของราชอาณาจักรเริ่มมีบทบาทในการส่งออกและนำเข้าสินค้ามากขึ้น ประกอบกับอียิปต์กลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนออตโตมานในปี ค.ศ.1516-1517 เรือพาณิชย์จากซีเรียและอียิปต์ที่เคยนำส่งและรับสินค้าที่ท่าเรือเมืองอันตัลยา ก็เริ่มย้ายมายังท่าเรือของกรุงอิสตันบูลโดยตรง จึงทำให้ท่าเรือเมืองอันตัลยาลดบทบาททางการค้าเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นท่าเรือท้องถิ่นเล็กๆ แห่งหนึ่งของอนาโตเลีย
เส้นทางการค้าในเขตทะเลดำ ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่สำคัญของเศรษฐกิจออตโตมานเติร์กมาตั้งแต่อดีตโดยปราศจากคู่แข่งชาวต่างชาติ หลังจากที่ออตโตมานสามารถยึดช่องแคบดาร์ดะเนลส์ได้ ทำให้ง่ายต่อการควบคุมพ่อค้าชาวอิตาลีซึ่งมีบทบาทในการค้าในเขตทะเลดำได้ พร้อมกับพัฒนาเส้นทางการค้าในเขตทะเลดำ ให้เป็นแหล่งเศรษฐกิจของอาณาจักรเหมือนกับในซีเรียและอียิปต์
ตั้งแต่อดีตมาอาหารและยุทธปัจจัยที่ส่งมาหล่อเลี้ยงชาวอิสตันบูลและประชาชนในแถบทะเลอีเจียน เช่น พวกข้าวสาลี ปลา น้ำมันพืชและเกลือ ล้วนแต่มาจากทางตอนเหนือของทะเลดำทั้งสิ้น เพื่อป้องกันการเกิดภาวะขาดแคลนที่อาจเกิดขึ้น สุลต่านเมห์เมดที่ 2 เคยทรงมีกระแสรับสั่งห้ามส่งยุทธปัจจัยเหล่านี้ออกนอกประเทศ และได้สั่งให้มีการตรวจตราเรือต่างชาติที่ลอบขนส่งสินค้าเหล่านี้อย่างเข้มงวด โดยตั้งด่านตรวจที่กรุงอิสตันบูลและที่แกลิโบลู และต่อมาด้วยเหตุผลทางความมั่นคงและทหารได้ทรงห้ามเรือต่างชาติเข้ามาในแถบนี้ ซึ่งส่วนใหญ่ในสมัยนั้นเป็นเรือของชาวอิตาลี
ในปีค.ศ.1475 ออตโตมานสามารถยึดครองเมืองท่าต่างๆ ใน caffaและ azov ทางตอนเหนือของทะเลดำ และในปี ค.ศ.1484 killia และ akkerman ก็ตกเป็นเมืองอาณัติของออตโตมาน นั้นหมายความว่าเมืองท่าต่างๆ ในทางตอนเหนือของทะเลดำตกอยู่ในอำนาจของอาณาจักรออตโตมานอย่างสมบูรณ์ ในคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 มีการบันทึกว่าเรือพาณิชย์อิตาลีและเวนิส เคยนำส่งไวน์จาเกาะ crete หรือ chios เข้ามายังแถบนี้
ในปี ค.ศ.1456 หลังจาก moldavia ตกเป็นเมืองอาณัติของออตโตมาน พ่อค้ามอลดาเวียได้รับสิทธิพิเศษในการค้าทางทะเลในแถบนี้ โดยอาศัยเรือพาณิชย์เมือง caffa akkerman และ killa กับประเทศโปแลนด์ โดยผ่านเมือง suceava ใน moldavia และเมือง lvov (lemberg) ในโปแลนด์ได้รับการพัฒนาให้เป็นเส้นทางเศรษฐกิจที่สำคัญและแหล่งรวมสินค้าที่หลากหลายในแถบนี้ ถึงแม้ว่าโปแลนด์พยายามจะแทรกแซงอำนาจใน moldaviaakkerman และ killa แต่ก็กระทำไม่สำเร็จ การที่ออตโตมานเติร์กเข้ามาควบคุมอำนาจใน caffa akkerman และ killa ไม่เพียงแต่เหตุผลทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่เป็นความจำเป็นในทางการเมืองอีกด้วย นอกจากนี้เมืองท่าทั้งสามแห่งนี้เป็นประตูการค้าที่สำคัญระหว่างทางเหนือกับดินแดนในทะเลเมดิเตอร์เรเนียน จากการบันทึกการค้าในปี ค.ศ.1490 เพียงภายใน 4 เดือน มีเรือพาณิชย์ถึง 75 ลำ เข้ามาเทียบท่าในคัฟฟา ในจำนวนเรือเหล่านั้นเป็นเรือของกรีก 8 ลำ เรือของอิตาลี 7 ลำ เรือรัสเซีย 1 ลำ และที่เหลือเป็นเรือของพ่อค้ามุสลิม ซึ่งส่วนใหญ่มาจากอิสตันบูล กาลาตา ตรับโซน อะโซฟ สิโนป และเมืองอิสมิต ท่าเรืออิสตันบูลเป็นศูนย์กลางที่สำคัญในการรวมและผ่าน สินค้าของยุโรป อาหรับ เปอร์เซีย และอินเดีย เช่น เสื้อผ้ายุโรป เครื่องเทศ และวัตถุย้อมสีอินเดีย ไหมบุรซา และผ้าฝ้ายจากอนาโตเลีนตะวันตก ในแถบ kastamonu (ทางใต้ของทะเลดำ) มีการส่งออกข้าวสาร เหล็ก ฝ้าย และผ้าขนแพะ โดยใช้ท่าเรือที่เมืองสิโนป เมืองโตสยา ถือว่าเป็นแหล่งผลิตผ้าขนแพะที่สำคัญในแถบนี้ เมือง amasya เป็นสถานที่ผลิตผ้าไหม เครื่องประดับดอกไม้เงินดอกไม้ทอง และขี้ผึ้งส่งออกไปยัง caffa นอกจากนี้ยังมีสินค้าผ้าขนแพะและข้าวสารจากเมืองอังการา ฝิ่นจากเมือง beysehir และพรมจากเมือง usak และเมือง gordes ตลาด caffa เคยได้รับสินค้ามะกอก น้ำมันมะกอก ถั่ว ลูกเกด เหล้าองุ่น และน้ำส้มจากแถบทะเลอีเจียน พ่อค้าจากเมืองบุรซานำเส้นไหม พรม และวัตถุใช้ย้อมสีเข้ามาค้าขายใน caffa ส่วนจากอิสตันบูลส่วนใหญ่เป็นสินค้าประเภทเสื้อผ้ายุโรป สินค้าอินเดียและอาหรับ
สำหรับสินค้าจาก caffa ส่งมายังทางใต้ประกอบด้วยพวกข้าวสาลี แป้ง น้ำผึ้ง เนย และเนยแข็ง ซึ่งเป็นยุทธปัจจัยที่สำคัญในพระราชวังและเมืองใหญ่ๆ นอกจากนี้ไข่ปลาคาร์เวียก็เป็นสินค้าเศรษฐกิจชนิดหนึ่งที่ส่งมายังทางใต้และกรุงอิสตันบูล พ่อค้าชาวเวนิสและเจนัวเคยมารับแป้ง ปลา และไข่ปลาคาร์เวียจากอิสตันบูลเข้าไปขายยังอิตาลี เกลือก็เป็นอีกสินค้าหนึ่งที่ไครเมียโดยเฉพาะจากเมือง sarukerman ส่งมายัง azov และอิสตันบูล เกลือนอกจากใช้ในอาหารแล้วยังใช้ในอุตสาหกรรมปลาอีกด้วย มีการบันทึกในคริสต์ศตวรรษที่ 16 ไครเมียเคยส่งเกลือเข้ามาขายในอิสตันบูลประมาณ 1,000-1,200 ตัน/ปี
นอกจากนี้ caffa และเมืองท่าต่างๆ ในทะเล azov เมือง kerch taman และ kopa ล้วนแต่เป็นตลาดการค้าทาสที่สำคัญในภูมิภาคนี้ ทาสเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นพวกที่ชาวตาตาร์จับมาจากรัสเซียและดปแลนด์ แล้วนำมายังตลาด caffa เพื่อรอแลกเปลี่ยนกับผ้าที่พ่อค้าอนาโตเลียนำมา ทาสเหล่านี้ถูกซื้อนำมายังอิสตันบูล เมืองสิโนป และเมืองอิแนบอลู ก่อนสมัยออตโตมาน การค้าทาสใน caffa อยู่ในมือของพ่อค้าชาวเจนัว
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 และ 16 ออตโตมานได้เชื่อมความสัมพันธ์ทางการค้ากับรัสเซียโดยใช้เส้นทางทะเลดำ เส้นทางนี้เรียกว่า “เส้นทางการค้าออตโตมาน-มอสโก” สินค้าของรัสเซียถูกส่งมายัง killa และ akkerman โดยผ่านเส้นทางเมือง chernigov และ kiev และอีกส่วนหนึ่งส่งมายังทะเล azov และไครเมียโดยผ่านเส้นทาง kursk belgorod และ cherkassy สินค้าหลักของรัสเซียคือ จำพวกขนสัตว์ และวัสดุเครื่องใช้ที่ทำด้วยเหล็ก นอกจากนี้ก็มีผ้าลินินรัสเซีย และงา walrus ก็เป็นสินค้าที่นิยมในตลาดออตโตมาน
ในปี ค.ศ.1479 สุลต่านออตโตมานทรงอนุญาตให้พ่อค้ารัสเซียเข้ามาค้าขายในดินแดนออตโตมานอย่างเสรี มีพ่อค้ารัสเซียจำนวนมากมาทำการค้าขายใน caffaakkerman kilia และข้ามมายังทางใต้ทะเลดำจวนถึงเมืองบุรซา ในปี ค.ศ.1577 สุลต่านออตโตมานเคยส่งคณะทูตไปยังรัสเซีย เพื่อสั่งซื้อผ้าขนสัตว์เข้าใช้ในพระราชวัง เป็นมูลค่ามหาศาล
เมือง kilia และ akkerman ก็เป็นประตูการค้าอีกแห่งหนึ่งระหว่างเหนือและใต้ เฉกเช่นเมือง caffa สินค้านับร้อยชนิดนับตั้งแต่ฝ้าย ผ้าเส้นไหม เครื่องแก้ว จนถึงรองเท้าจากตุรกีเข้ามายัง kilia และ akkerman นอกจากบันทึกบัญชีภาษีนำเข้าในปี ค.ศ.1490 พบว่าในช่วง 4 เดือนแรกมีเรือพาณิชย์เข้ามาเทียบท่า akkerman ถึง 20 ลำ ในบรรดาเรือเหล่านั้น 15 ลำ เป็นของพ่อค้าชาวกรีก 6 ลำเป็นของพ่อค้าชาวมุสลิม 3 ลำเป็นของชาวอิตาลี และอีก 1 ลำเป็นของพ่อค้าชาวอาร์เมเนีย นอกจากนี้เมือง kilia และ akkerman ส่วนใหญ่เป็นชาว moldavia เชื้อชาติรูเมเนีย เอร์มาเนีย กรีก ตาตาร์ และยิว ซึ่งมีจำนวนขี้ผึ้ง น้ำผึ้ง เนย และเครื่องหนังเป็นสินค้าหลัก นอกจากนี้พ่อค้ามุสลิมจำนวนไม่น้อยจากอิสตันบูลและเมืองต่างๆ ในอนาโตเลียก็เข้ามาค้าฝ้ายและเส้นไหมในตลาดแห่งนี้ kilia ยังเป็นเมืองท่าที่พ่อค้ามุสลิมจากเมืองต่างๆ ในแหลมบอลข่านนิยมนำเรือมาแวะเทียบท่าชั่วคราวเพื่อรบยุทธปัจจัยในระหว่างการค้าเครื่องเทศ เส้นไหมบุรซา ฝ้ายและขนแกะอนาโตเลียอีกด้วย kilia เคยรับสินค้มารองเท้าจากแอดิรแน ผ้าขนแกะจากทางใต้ของบัลกาเรีย จาก salonica และ dubrovnik โดยสรุปแล้ว kilia เป็นทั้งเส้นทางการค้าในทะเลดำ และศูนย์กลางการค้าแห่งหนึ่งในแหลมบอลข่าน พร้อมกับเป็นแหล่งเศรษฐกิจที่สำคัญของอาณาจักรออตโตมานอีกด้วย
ก่อนปี ค.ศ.1569 ประเทศอิตาลี โดยเฉพาะชาวเวนิสเป็นมหาอำนาจทางทะเลในแถบเมดิเตอร์เรเนียน อิตาลีเข้ามาควบคุมการค้าและพยายามสร้างอาณานิคมในแถบเลอวองต์ เส้นทางการค้าที่สำคัญในแถบเลอวองต์ตั้งแต่ทะเลอาซอฟจนถึงอเล็กซานเดรีย ล้วนแต่ตกอยู่ภายใต้ของพ่อค้าชาวเวนิสและเจนัว เมือ่อาณาจักรออตโตมานได้แผ่ขยายอำนาจอย่างรวดเร็วไปในไบแซนทีนเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการค้าที่อาจสูญเสียแก่อำนาจใหม่นี้ ชาวเวนิส
ใช้นโยบายการครอบครองจุดยุทธศาสตร์ต่างๆ ในอัลบาเนีย ionian morea และหมู่เกาะต่างๆ ในทะเลอีเจียน พร้อมกับเข้ามายึดครองเกาะไซปรัส
ในปี ค.ศ.1489 ชาวเวนิสได้วางแผนจะพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิลก่อนที่เมืองนี้จะตกเป็นของออตโตมาน ทั้งนี้เห็นได้จากชาวเวนิสได้เข้ามายึดครองเมือง salanica ระหว่างปี ค.ศ.1423-1430 อย่างไรก็ตามเพื่อผลประโยชน์ทางการค้าชาวเวนิสพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าทางทหารกับอำนาจใหม่ออตโตมานนี้ ความตึงเครียดระหว่างอิตาลีกับออตโตมานเริ่มปรากฏขึ้นเมื่อสุลต่านบายาซิดที่ 1 ทรงรับสั่งให้ปิดช่องแคบบอสฟอรัส โดยการสร้างป้อมด่านที่เรียกว่า “อะนาดอลู ฮิสาเรอ” และช่องแคบที่กาลิโบลู เมื่อควบคุมและสกัดกั้นเรือต่างชสติที่ผ่านเข้ามาในแถบนี้ ในปี ค.ศ.1416 เรือชาวเวนิสบุกเข้าทำลายป้อมด่านที่กาลิโบลู และทำลายฐานทัพเรือของออตโตมานในป้อมนั้น การเผชิญหน้าทางทหารระหว่างสองชาตินี้เริ่มเกิดขึ้นเรื่อยๆ ผลสุดท้ายสุลต่านเมห์เมดที่ 2 สามารถกอบกู้สถานการณ์และควบคุมช่องแคบได้ทั้งหมด
ในต้นปี ค.ศ.1352 ออตโตมานเคยเชื่อมความสัมพันธ์ทางการค้ากับชาวเวนิสและเจนัว โดยการทำสัญญาผูกขาดการซื้อสินค้า สารส้มที่ผลิตจากเมืองมานิสา เพื่อใช้ในงานอุตสาหกรรมผลิตผ้าในยุโรป ในช่วงนั้นเกาะ chios และ foca (ทางตะวันตกของอนาโตเลีย) นอกจากสารส้มแล้วสุลต่านออตโตมานได้อนุญาตให้พ่อค้าชาวเวนิสทำการค้าข้าวสาลีอีกด้วย สุลต่านบายาซิดที่ 1 เคยใช้การค้าข้าวสาลีเป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองกับชาวเวนิสในช่วงการพิชิตกรุงคอนสแตนติโนเปิล สุลต่านเมห์เมดที่ 2 ก็ทรงอนุญาตให้พ่อค้าชาวเวนิสทำการค้าข้าวสาลี ในดินแดนของออตโตมานอย่างเสรี โดยเก็บภาษีการค้าเพียงร้อยละ 2 เท่านั้น ต่อมาเกิดวิกฤติทางการเมือง morea และอัลบาเนีย สุลต่านเมห์เมดที่ 2 ทรงตัดสินพระทัยเกิดสงครามกับชาวเวนิสในระหว่างปี ค.ศ.1463-1476 พระองค์ทรงรับสั่งให้จับพ่อค้าชาวเวนิส พร้อมกับจับสินค้าของพวกเขาทั้งหมดในดินแดนของออตโตมาน ในขณะเดียวกันพระองค์ทรงติดต่อและเปิดโอกาสให้พ่อค้าชาวฟลอเรนซ์ และชาว ragusa debrounik เข้ามาค้าขายในดินแดนออตโตมานแทนพ่อค้าชาวเวนิส
ในปีค.ศ.1469 ชาวฟลอเรนซ์กว่า 50 บริษัทเข้ามาค้าขายในดินแดนออตโตมาน จำนวนพ่อค้าชาวฟลอเรนซ์ในตลาดบุรซาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และทำการค้าขายอย่างคึกคัก บุรซากลายเป็นตลาดค้าผ้าที่สำคัญของชาวฟลอเรนซ์ไปยังอนาโตเลียและเปอร์เซีย และขากลับพวกเขารับซื้อสินค้าเส้นไหมกลับยังประเทศ
ในปี ค.ศ.1463 เมือง bosnia และ herzegovinia ตกเป็นเมืองขึ้นของออตโตมาน สุลต่านเมห์เมดที่ 2 ทรงรับสั่งให้เปิดเส้นทางการค้าใหม่กับฟลอเรนซ์ซึ่งเป็นทางตรงโดยผ่านเมือง ragusa ทำให้การค้าระหว่างสองชาตินี้ขยายขึ้นอย่างรวดเร็ว เส้นทางการค้าระหว่างเมือง ragusa กับกรุงอิสตันบูลหรือกับเมืองบุรซาโดยผ่านเมือง foca เมือง novibazar เมืองแอดิรแนแล้วเข้าไปยังกรุงอิสตันบูลหรือเมืองบุรซาโดยแยกเส้นทางที่เมือง gallipoli มีความคึกคักและเพิ่มความสำคัญมากขึ้น สินค้าจากเมือง ragusa นำลงเรือข้ามทะเล adriatic ยังท่าเรือเมือง ancona แล้วส่งต่อยังเมืองฟลอเรนซ์
อ้างจากหนังสือหลักการบริหารในอิสลาม 3 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น