วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

สถาบันการศึกษาในอาณาจักรอุษมานียะห์หรือออตโตมาน

ภาพการศึกษาในอาณาจักรออตโตมาน

                สถาบันการศึกษาหรือองค์การที่ดำเนินกิจกรรมทางการศึกษามีความสำคัญยิ่งในแต่ละราชวงศ์และเป็นปัจจัยสำคัญในความอยู่รอดของแต่ละราชวงศ์และแต่ละราชอาณาจักร  อาณาจักรออตโตมานให้ความสำคัญต่อการศึกษาเหมือนกับอาณาจักรอิสลามอื่นๆ  ในอดีตประกอบกับอาณาจักรออตโตมานได้แผ่ขยายอาณาเขตครอบคลุมดินแดนในเปอร์เซีย  ซีเรีย  อียิปต์  ตุรกีสถาน  ซึ่งล้วนแต่เป็นศูนย์กลางทางการศึกษาและอารยธรรมในสมัยนั้น  ทำให้การศึกษาในอาณาจักรออตโตมานทวีความคึกคักมากขึ้น  จนกลายเป็นยุคทองทางการศึกษาในคริสต์ศตวรรษที่ 16  องค์การหรือสถาบันที่เกี่ยวกับกิจกรรมทางการศึกษาในอาณาจักรออตโตมานสรุปได้  ดังนี้

                1.  มักตาบศิบยาน  (sibyan mektepleri
                มักตาบศิบยานเป็นสถาบันการศึกษาที่จัดการเรียนการสอนในระดับปฐมศึกษา  สถาบันนี้เดิมเรียกว่า  กุตตาบ  (kuttab)  หรือบางครั้งเรียกว่าดารุลตะลีม  (daru’l-ta’lim)ดารุล  หุฟฟาษ  (karu’l-huffaz)  หรือเรียกว่ามักตาบ  (maktab)  เฉยๆ  ทุกหมู่บ้านหรือชุมชนของอาณาจักรออตโตมาน  ส่วนใหญ่จะมีสถาบันนี้  อาคารของมักตาบศิบยานจะเป็นอาคารที่เรียบง่าย  บางครั้งจะสร้างติดกับมัสยิด  หรือติดกับจวนของชนชั้นผู้ปกครองในหมู่บ้านนั้นๆ  หรือบางหมู่บ้านก็จะสร้างเป็นอาคารต่างหาก  มักตาบศิบยานในบางพื้นที่เป็นสหศึกษาคือรวมเด็กชายและเด็กหญิง  สถาบันนี้ส่วนใหญ่อยู่ภายใต้การดูแลขององค์กรมูลนิธิการกุศล (awaf
                มักตาศิบยาน  จะรับบุตรธิดาของชาวมุสลิมทุกคนที่มีอายุครบ 5 ขวบเข้าศึกษาโดยไม่จำกัดชนชั้นวรรณะ  ผู้ปกครองที่มีลูกหลานอายุย่างเข้า 5 ขวบจะทำพิธีที่เรียกว่าอามีน  อะลาเยอ (amin alayi)  หรือพิธีบัดอีย์  บัสมะละห์  (bed-i besmele)  ในการส่งลูกหลานเข้าเรียนในมักตาบศิบยาน   ครูที่ทำหน้าที่สอนในสถาบันดังกล่าวนี้ส่วนใหญ่สำเร็จการศึกษาในระดับมัดราซะห์  หรือบรรดาอิหม่าม  มุอัสซิน  หรือผู้ดูแลมัสยิด (kayyum)  ที่รู้หนังสือสามารถอ่านออกเขียนได้  ส่วนครูที่ทำหน้าที่สอนในมักตาบศิบยานประเภทสหศึกษาหรือเด็กหญิงล้วนเป็นครูสตรีที่รู้หนังสือ  มีประสบการณ์และเป็นผู้ท่องจำอัลกุรอาน (hafizah)  มักตาบศิบยานมีวัตถุประสงค์เพื่อให้นักเรียนรู้หนังสือ   อ่านออกเขียนได้   สามารถอ่านอัลกุร
อานได้อย่างถูกต้อง  และเข้าใจหลักการพื้นฐานของศาสนา  มักตาบศิบยานในบางพื้นที่นอกจากสอนวิชาที่เกี่ยวกับศาสนาแล้ว  ยังสอนวิชาเรขาคณิตเบื้องต้น  และวิชาวรรณกรรมอีกด้วย

               
2.  มัดราซะห์  (madrese
                มัดราซะห์  เป็นสถานที่ที่มีบทบาทเกี่ยวกับการศึกษาที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์อิสลาม  โดยเฉพาะอย่างยิ่งมัดราซะห์นิศอมิยยะห์  (madrasah nizamiyyah)  ซึ่งเกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่11 สถาบันมัดราซะห์จัดตั้งขึ้นเริ่มแรกเพื่อวัตถุประสงค์การผลิตนักฟิกฮ (นักกฎหมายอิสลาม)  โดยเฉพาะ  ต่อมาในคริสต์ศตวรรษที่ 13  มีสถาบันมัดราซะห์ที่เน้นเฉพาะทางในสาขาอื่นๆ เกิดขึ้น  เช่น  มัดราซะห์หะดีษ (madarisu’l-tafsir)  มุ่งเน้นการผลิตนักอรรถาธิบายอัลกุรอานมัดราซะห์นะห์วุ (madarisu’l-nahv)  ที่เน้นผลิตนักภาษาศาสตร์  เป็นต้น
                ในดินแดนอนาโตเลียมีมัดราซะห์เกิดขึ้นอย่างแพร่หลายมาแต่อดีตก่อนการสถาปนาอาณาจักรออตโตมาน  ก่อนคริสต์ศตวรรษที่ 14  มีสถาบันมัดราซะห์เกิดขึ้นมากมายในหัวเมืองหลักของอนาโตเลีย  เช่น  เมืองคอนยา (konya)  มีมัดราซะห์ถึง  24  แห่ง  เมืองมาดิน (mardin)  และเมืองสีวัส (sivas)  หัวเมืองละ  13  แห่ง  และหัวเมืองไกยสารีมีมัดราซะห์ถึง  11  แห่ง  นอกจากนี้หัวเมืองรองต่างๆ  เช่น  เมืองสีวรีหิซาร์ (sivrihisar)  เมืองอักซาฮีร  เมืองดิแร (tire)  เมืองอักสาราย  เมืองแอร์ซูรูม  เมืองดิยารบากิรหรือเมืองการามาน  มีมัดราซะห์เมืองละไม่น้อยกว่า 4-6 แห่ง
                ในยุคราชวงศ์ออตโตมานมีการสร้างสถาบันมัดราซะห์ครั้งแรกในสมัยของสุลต่านอรฮันที่เมืองอิซนิกในปี ฮ.ศ. 731 (ค.ศ.1130) กล่าวคือ  เมื่อสุลต่านอรฮันพิชิตเมืองอิซนิกได้สำเร็จ  พระองค์ทรงมีกระแสรับสั่งให้สร้างมัสยิดและมัดราซะห์ขึ้นและพระองค์ทรงแต่งตั้ง  mawlana dawud al-kayseri  ซึ่งเป็นอุลามะอในระดับแนวหน้าในมัยนั้นเป็นผู้ดูแลมัดราซะห์ดังกล่าว  แนวการปฏิบัติของสุลต่านอรฮันกลายเป็นประเพณีของกองทัพออตโตมานเมื่อสามารถพิชิตดินแดนใหม่ก็จะสร้างมัสยิดและมัดราซะห์ขึ้นในดินแดนพิชิตใหม่นั้น  ซึ่งทำให้จำนวนมัดราซะห์ในดินแดนอาณาจักรออตโตมานทวีมากขึ้นอย่างรวดเร็ว  ในระหว่างปี ค.ศ.1331-1451  ในดินแดนอาณาจักรออตโตมานมีสถาบันมัดราซะห์ถึง  82  แห่ง  และเพิ่มจำนวนเรื่อยๆ โดยเฉลี่ย 3 ปีจะมีมัดราซะห์ใหม่ๆ  เกิดขึ้นอย่างน้อย  2  แห่ง (e.ihsanoglu,1998:237
                ในสมัยสุลต่านเมห์เมด  อัลฟาติห์ (mehmed al-fatih)  พระองค์ทรงสร้างมัดราซะห์ษะมานียะห์ (semaniye medreseleri)  ขึ้นในบริเวณรอบๆ  มัสยิดอัลฟาติห์ (fatih camii)  ซึ่งประกอบด้วยมัดราซะห์ชั้นสูง  (sahn)  8 โรง  และมัดราซะห์ระดับรองลงมาที่เรียกว่าแตติมมะห์ (tetimme)  อีก 8 โรง  รวมแล้วบริเวรรอบๆ  มัสยิดอัลฟาติห์มีมัดราซะห์ถึง  16 โรง  นอกจากนี้ประตูด้านทิศตะวันตกของมัสยิดยังมีดารุลตะลีม (darul-ta’lim)  ซึ่งเป็นสถาบันจัดการเรียนการสอนในระดับประถมศึกษาอีก 1 โรง  พระองค์ทรงวางแผนที่จะให้กรุงอิสตันบูลเป็นศูนย์การศึกษาในภูมิภาคนี้
                บทบาทของมัดราซะห์ในยุคก่อนสุลต่านเมห์เมด  อัลฟาติห์  ส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องศาสนาเท่านั้น  แต่มัดราซะห์  ษะมานียะห์  ของพระองค์มีการจัดการเรียนการสอนในวิชาสามัญ  หรือที่เรียกว่าวิชาอุลูมุลอักลียยะห์ (ulumul-aqliyyah)  อีกด้วย  เช่น  วิชาคณิตศาสตร์  ตรรกศาสตร์  ปรัชญา  วรรณคดี  เป็นต้น  อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์นั้นจะได้รับค่าตอบแทนที่แตกต่างกันตามระดับของมัดราซะห์  ซึ่งเริ่มตั้งแต่  20  อัคแจ (akge)  จนถึง 50 อักแจต่อวัน
                ในยุคคลาสสิคของอาณาจักรออตโตมานมีการแบ่งประเภทและระดับมัดราซะห์ออกมาเป็น  5  ระดับ  ดังนี้
                1.  มัดราซะห์หาซิยะห์  ตัจรีด (hasiye-i  tacrid
                หมายถึงมัดราซะห์ที่ใช้ตำราหะซิยะห์ตัจรีด  เป็นตำราหลักในการเรียนการสอน  ตำรานี้ดั้งเดิมมีชื่อว่าตัจรีดดุลกะลาม  (tecridul-kelam)  แต่งโดยนาศีรุดดีน  อัลตูสี (nasiruddin al-tusi  เสียชีวิตปี ฮ.ศ. 672/ค.ศ. 1273)  และมีการเขียนอธิบายโดยซัมซุดดีน  มะห์มูด  บิน  อบีอัลกอซีม  อัลอิสฟาหานีย์ (semsuddin mahmud b.ebi al-qasim al-isfahani  เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.746/ค.ศ.1345)  ต่อมาสัยยิด  ซารีฟ  อัลกุรกานีย์ (seyyid serif al-gurgani เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.816/ค.ศ.1413)  ได้เขียนอธิบายเพิ่มเติมต่อในลักษณะเชิงอรรถ
รอบข้างหรือที่เรียกว่าหาซิยะห์ (hasiye)  อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์ระดับดังกล่าวนี้จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราวันละ 20-25  อักแจ
                2.  มัดราซะห์มิฟตาห์  (miftah
                หมายถึงมัดราซะห์ที่ใช้ตำรามิฟตาห์  (miftah)  นิพนธ์โดยสิรอญุดดีน  ยูซุฟ  อัลสักกากีย์  (siracuddin yusuf al-sakkaki  เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.626/ค.ศ.1228)  เป็นตำราหลักในการเรียนการสอน  อาจารย์ที่สอนในระดับมัดราซะห์มิฟตาห์จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราวันละ  30  อักแจ
                3.  มัดราซะห์ตัลวีค  (telvih
                หมายถึงมัดราซะห์ที่ใช้ตำราของศอดรุสสาเรีย  อุไบยดุลลอฮ     อัลบุคอรีย์     (sadrus
seria ubeydullah al-bukhari  เสียชีวิตในปี ฮ.ศ.747/ค.ศ.1346)ชื่อ  ตันกีหุลอุศูล (tenkihul usul)  และเตาฎีหูลตันกีห  (tavdhihul tenkih)  เป็นตำราหลักในการเรียนการสอน  อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์ระดับนี้จะได้รับค่าตอบแทนในอัตราวันละ  40  อักแจ 
                4.  มัดราซะห์คอริจ (haric)
                มัดราซะห์คอริจเป็นมัดราซะห์ที่มีระดับสูงกว่ามัดราซะห์ทั้งสามที่กล่าวมาข้งต้น  มัดราซะห์คอริจ  คือ  มัดราซะห์เก่าแก่ที่มีอยู่เดิมก่อนการสถาปนาอาณาจักรออตโตมาน  ซึ่งสร้างขึ้นโดยขุนนาง  ข้าหลวง  วิเซียร์  หรือชนชั้นปกครองสมัยอาณาจักรเซลจูก  หรือผู้ปกครองรัฐในอนาโตเลียในอดีต อาจารย์ที่สอนในมัดราซะห์ระดับดังกล่าวนี้ จะได้รับค่าจ้างในอัตราวันละ  50  อักแจ
                5.  มัดราซะห์ดาคิล  (dahil)
                หมายถึงมัดราซะห์ที่สร้างขึ้นโดยสุลต่านหรือปาดีซะห์แห่งราชวงศ์ออตโตมาน  หรือสร้างโดยพระบรมวงศานุวงศ์ทั้งหลาย  มัดราซะห์ดาคิลแบ่งเป็น  2  ระดับ  คือ
                5.1)  มัดราซะห์แตติมมะห์  (tatimme)  มัดราซะห์มุศีลาอิ  ศ็อห์น  (musila-i sahn)  อาจารย์ที่ทำหน้าที่สอนนักศึกษาในระดับมัดราซะห์แตติมมะห์นี้จะได้รับค่าจ้างในอัตราวันละ  50  อักแจ
                5.2)  มัดราซะห์ศ็อห์น  (sahn)  คือสถาบันการศึกษาชั้นสูงสุดในระบบมัดราซะห์  ของอาณาจักรออตโตมาน  มัดราซะห์นี้ทำหน้าที่ผลิตอุลามาอ  กอฎี  (ผู้พิพากษา)  ไซดุลอิสลาม  และนักปราชญ์เพื่อรับใช้อาณาจักร  ครูบาอาจารย์ในมัดราซะห์ศ็อห์นส่วนใหญ่เป็นบรรดาอุลามาอ  และนักปราชญ์ชั้นแนวหน้าของอาณาจักรออตโตมาน



                ในสมัยสุลต่านสุไลมาน  กอนูนีย์  สถาบันมัดราซะห์ได้พัฒนามากขึ้น  พระองค์นอกจากสร้างมัดราซะห์ศ็อห์น (sahn)  ถึง  4  โรง  และมักตาบศิบยาน  (sibyan)  อีก 1 โรงแล้ว  พระองค์ยังได้สร้างมัดราซะห์เฉพาะทางในเรื่องสาขาวิชาหะดีษซึ่งเรียกว่าดารุลหะดีษ  (darul hadith)  นอกจากนี้พระองค์ยังได้สร้างวิทยาลัยการแพทย์  โดยใช้ชื่อว่าดารุตตีบ  (darul-tib)  และวิทยาลัยการเภสัชกรรม  (darul-adviye)  พร้อมกับโรงพยาบาลและโรงอาหารสาธารณะหรือที่เรียกว่าดารุสสิยาฟะห์  (daruz-ziyafe)  ขึ้นในรอบๆ บริเวณมัสยิดของพระองค์  (มัสยิดสุไลมานียะห์)
                ในตอนต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18  มีการปรับปรุงสถาบันมัดราซะห์ใหม่  โดยการจัดระดับชั้นมัดราซะห์  ดังนี้
                1.  มัดราซะห์อิบตีดาอีย์  คอริจ  (ibtida-i  haric)  คือมัดราซะห์คอริจชั้นต้น
                2.  มัดราซะห์อิกินญี  คอริจ  (ikinci haric)  คือมัดราซะห์คอริจชั้นสอง
                3.  มัดราซะห์  อิบตีดาอีย์  ดาคิล  (ibtida-i dahil)  คือมัดราซะห์ดาคิลชั้นต้น
                4.  มัดราซะห์อิกินญี  ดาคิล  (ikinci dahil)คือมัดราซะห์ดาคิลชั้นสอง
                5.  มัดราซะห์  มุศีลาอี  ศ็อห์น  (musila  sahn)
                6.  มัดราซะห์  (sahn)
                7.  มัดราซะห์อิบตีดาอีย์  อัตมิซเลอ  (ibtida-i atmisli)  คือมัดราซะห์ที่มีอัตราค่าจ้าง
                     อาจารย์วันละ  60  อักแจ  ชั้นต้น
                8.  มัดราซะห์อีกินญี  อัตมิซเลอ  (ikinye atmisli)  คือมัดราซะห์ที่มีอัตราค่าจ้างวันละ 
                     60  อักแจชั้นสอง
                9.  มัดราซะห์มุศิลาอี  สุไลมานีแย  (musila-i suleymaniye)  คือมัดราซะห์ชั้นเตรียม
                     นักศึกษาเพื่อสู่ระดับมัดราซะห์สุไลมานีแย
                10.มัดราซะห์สุไลมานีแย  (suleymaniye madresesi)  คือสถาบันการศึกษาชั้นสูง
                      สุดในระดับมัดราซะห์
                11.มัดราซะห์ฮาวามิซี  สุไลมานีแย (havamis-i suleymaniye)  เป็นระดับชั้นมัดรา
                         ซะห์ที่เกิดขึ้นใหม่โดยรวมระหว่างมัดราซะห์มุศิลาอี  สุไลมานีแย  กับมัดราซะห์
                         สุไลมานีแยเข้าด้วยกัน
                นอกจากนี้  ยังมีมัดราซะห์เฉพาะทางในสาขาวิชาต่างๆ  เช่น  ดารุลหะดีษ  (darul hadith)  เป็นสถาบันการศึกษาเฉพาะทางในสาขาวิชาหะดีษ  มุอัลลิมฮาแนอิ  นุววาบ  (muallimhane-i nuvvab)  มักตาบนุววาบ  (mektab-i nuvvab)  มัดราซะห์กุฎอต  (madresetul kuzat)  ทั้ง 3 เป็นสถาบันเฉพาะในการผลิตกอฎี  (ผู้พิพากษา)  มัดราซะห์อะอิมะห์  อัล  คุฎอบาต  (madresetul-eimme ve’l hutaba)  และมัดราซะห์อิรซาด  (madresetu’l irsad)  เป็นมัดราซะห์เฉพาะทางในการผลิตอิหม่าม  นักเผยแผ่ศาสนา  และนักเทศนาธรรม  นอกจากนี้ ยังมีมัดราซะห์ที่เน้นเฉพาะในเรื่องศิลปะการเขียนตัวอักษร  เรียกว่า  มัดราซะห์คอตตาตีน  (madresetu’l hattatin)
                จำนวนมัดราซะห์ของอาณาจักรออตโตมานตามหัวเมืองหลักต่างๆ  สรุปเป็นตารางได้ดังนี้
ชื่อเมือง
คริสต์
ศต.ที่14
คริสต์
ศต.ที่15
คริสต์
 ศต.ที่16
ไม่สามารถกำหนดได้
รวม
เมืองอิซนิก
4



4
เมืองบุรซา
19
11
16

36
เมืองแอดิรแน
1
20
10

31
เมืองอิสตันบูล

23
113
6
142
อนาโตเลีย
12
31
32
13
88
แหลมบอลข่าน
4
12
18
5
39
ซีเรีย


3

3
แหลมอาราเบีย (hicaz)


6

6
เยแมน


1

1
รวม
40
97
189
24
350
                จำนวนมัดราซะห์ในดินแดนออตโตมานในพื้นที่ยุโรป  (rumeli)  สรุปเป็นตารางได้ดังนี้
ชื่อประเทศ
จำนวนมัดราซะห์
กรีซ
189
บัลแกเรีย
144
อัลบาเนีย
28
บอสเนีย,เฮอร์เซโกวินา,โครเอเซีย,มอนเตนิโกร
105
โคโซโว,มาซิโดเนีย,เซอร์เบีย,สโลวิเนีย,โวจโวดินา
134
โรมาเนีย
9
ฮังการี
56
รวม
665
                ต่อมาในเดือนซุลเกาะดะห์ ปี ฮ.ศ.1332  (ค.ศ.1914)  มีการตราพระราชกฎหมายปรับปรุงสถาบันมัดราซะห์ครั้งใหญ่  โดยยุบรวมสถาบันมัดราซะห์ทั้งหมดที่มีอยู่ในเมืองหลวงกรุงอิสตันบูลให้เป็นมัดราซะห์เดียวภายใต้ชื่อว่ามัดราซะห์ดารุลคิลาฟะติลอาลียยะห์ (darul-hilafeti’l-aliyye madresesi= แปลว่ามัดราซะห์ชั้นสูงแห่งเมืองคอลิฟะห์)  และได้แบ่งระดับการศึกษาออกเป็น  3  ระดับคือ  ระดับต้น (tali kismi evvel) ระดับกลาง (tali kismi sani) และระดับสูง  (ali kismi)  โดยในแต่ละระดับใช้เวลาการศึกษา  4  ปี
                มัดราซะห์มีบทบาททางการศึกษาของอาณาจักรออตโตมานเรื่อยมาจนถึงช่วงต้นของสาธารณรัฐตุรกี ซึ่งต่อมาได้ยกเลิกสถาบันมัดราซะห์ และได้จัดตั้งสถาบันอิหม่ามคอติบ  (imam hatip mektebi)  เป็นสถาบันการศึกษาศาสนาระดับมัธยม  และคณะอิลาฮิยาด  (ilahiyat fakultesi)  เป็นการศึกษาศาสนาระดับอุดมศึกษาขึ้นแทน  โดยทั้งสองขึ้นอยู่กับกระทรวงศึกษาธิการ
                3.  สถาบันตำหนักใน  (enderun mektebi
                ในตำหนักใน  นอกจากเป็นที่ปฏิบัติงานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่แล้ว  ยังเป็นสถานศึกษาที่สำคัญยิ่งของอาณาจักรออตโตมานรองจากสถาบันมัดราซะห์  การศึกษาในตำหนักในนั้นมีเป้าหมายเพื่อผลิตขุนนางข้าราชการทั้งฝ่ายบริหาร  ทหาร  ตุลาการ  และบุคคลสำคัญของรัฐ  ทั้งนี้เพื่อรับใช้พระราชสำนักและอาณาจักร  การศึกษาในตำหนักในมีความแตกต่างกัน  การศึกษาในสถาบันมัดราซะห์ คือนักศึกษาในตำหนักในทุกคนจะต้องเรียนวิชาการทหารและบริหารพร้อมกับฝึกปฏิบัติในภาคสนามจริงอีกด้วย  ระบบการศึกษาในตำหนักในจะมีโปรแกรมและแบ่งระดับชั้นที่ชัดเจนเพื่อกลั่นกรองแยกความสามารถและความถนัดของนักศึกษาแต่ละท่านได้อย่างชัดเจน 




                4.  สถานพยาบาล  (sifahane)  และวิทยาลัยการแพทย์  (daru’t-tib)
                สถานพยาบาลในอดีต นอกจากให้บริการด้านสุขภาพและสาธารณสุขแล้ว ยังเป็นสถานศึกษาวิชาการแพทย์อีกด้วย  ในประวัติศาสตร์อิสลามสถานพยาบาลเกิดขึ้นครั้งแรกในสมัยของสุลต่านวาลีด  บิน  อับดุลมาลีก  (walid b. abdulmalik  ครองราชย์ระหว่างปี ค.ศ.705-715)  แห่งราชวงศ์อุมัยยะห์  และมีความเจริญก้าวหน้ามากมายอย่างแพร่หลายในหัวเมืองหลักต่างๆ  ทั้งในซีเรีย  เปอร์เซีย  และอนาโตเลีย
                ในสมัยราชวงศ์ออตโตมานมีการสร้างสถานพยาบาลครั้งแรกที่เมืองบุรซาในสมัยของสุลต่านบายาซิดที่ 1  (ค.ศ.1360-1403)  สถานพยาบาลในสมัยราชวงศ์ออตโตมานมีชื่อเรียกที่แตกต่างกัน  เช่น  ดารุซซิฟาอ  (daru’s-sifa)  ดารุศหหะห์  (daru’s-sihha)  ซิฟาฮาแน  (sifahane)  บิมาริสถาน  (bimaristan)  บิมารฮาแน  (bimarhane)  หรือติมารฮาแน  (timahane

                ในเมืองหลวงอิสตันบูลมีสถานพยาบาลเกิดขึ้นหลายแห่งตามยุคสมัยของสุลต่านแต่ละองค์  ส่วนสถานพยาบาลแห่งแรกของเมืองอิสตันบูลคือ  สถานพยาบาลดารุซซิฟาอของสุลต่านเมห์เมดอัลฟาติห์  ซึ่งสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1470  เป็นสถานพยาบาลขนาด  70  ห้องผู้ป่วย  ในปี ค.ศ.1488  สุลต่านบายาซิดที่ 2  (ค.ศ.1450-1512)  ได้สร้างสถานพยาบาลเบยาซิดดารุซซิฟาอ  (bayezid daru’s-sifa)  ขึ้นที่เมืองแอดิรแน  โดยเน้นการรักษาพยาบาลเกี่ยวกับโรคตาและโรคประสาท
                ในปี ค.ศ.1550  สุลต่านสุไลมานทรงสร้างสถานพยาบาลดารุซซิฟาอขึ้นในรอบๆ บริเวณมัสยิดของพระองค์  สถานพยาบาลดารุซซิฟาอของสุลต่านสุไลมานเป็นสถานพยาบาลชั้นแนวหน้าที่สุดของอาณาจักรออตโตมาน  พระองค์ได้แยกการศึกษาวิชาการแพทย์จากสถานพยาบาล  โดยทรงจัดตั้งวิทยาลัยการแพทย์ขึ้น  ใช้ชื่อว่า  สุไลมานียะห์  ดารุตติบบี  (suleymaniye daru’t-tibbi)  เพื่อผลิตแพทย์โดยเฉพาะ  นับว่าเป็นวิทยาลัยการแพทย์แห่งแรกของราชวงศ์ออตโตมาน  นักศึกษาที่ประสงค์จะเข้าศึกษาในวิทยาลัยการแพทย์นี้จะต้องจบการศึกษาระดับมัดราซะห์คอริจและดาคิลชั้นต้น  พร้อมกับต้องผ่านชั้นเตรียมมัดราซะห์สุไลมานีแย  (tetimme)  นักศึกษาแพทย์จะเรียกภาคทฤษฎีที่วิทยาลัยการแพทย์สัปดาห์ละ  4  วัน  ที่เหลือจะฝึกปฏิบัติที่สถานพยาบาลดารุซซฺฟาอ   ผู้ที่สำเร็จการศึกษาจะได้รับประกาศนีย
บัตรตามรายวิชาและตำราที่ได้เรียนมา  ในปีเดียวกับนางฮาแสกี  ฮุรเร็ม  สุลต่าน (haseki hurrem sultan)  พระมเหสีของสุลต่านสุไลมานได้สร้างสถานพยาบาลอีกแห่งหนึ่งในอิสตันบูล  โดยใช้ชื่อว่าฮาแสกี  ดารุซซิฟาอ  ซึ่งต่อมาให้จัดเป็นสถานพยาบาลสำหรับสตรีโดยเฉพาะจนถึงปี ค.ศ.1884  และได้เปลี่ยนเป็นสถานพยาบาลโรคประสาท  โรงพยาบาลฮาแสกี  ยังคงดำเนินกิจการอยู่จนถึงปัจจุบันนี้



                ในปี ค.ศ.1583  นูร  บานู  สุลต่าน  (เสียชีวิตปี ค.ศ.1583)  พระมหสีของสุลต่าน  ซาเล็มที่ 2  ได้สร้างสถานพยาบาล  วาลิแด  อะตึก  ดารุซซิฟาอ  (valideatik daru’s sifa)  ขึ้นที่อุสกุดาร  (uskudar)  ในเมืองอิสตันบูล  ต่อมาในปี ค.ศ.1617  สุลต่านอะห์มัดที่ 1  ทรงสร้างสถานพยาบาลสุลต่านอะห์มัด  ดารุซซิฟาอขึ้นที่เมืองอิสตันบูลเช่นกัน  หลังจากปี ค.ศ.1800  เป็นต้นมาอาณาจักรออตโตมานเริ่มมีความสัมพันธ์กับตะวันตกมากขึ้นและเริ่มมีโรงพยาบาลและวิทยาลัยการแพทย์สมัยใหม่เกิดขึ้น  ในปี ค.ศ.1805  รัฐบาลออตโตมานเริ่มก่อตั้งวิทยาลัยการแพทย์พร้อมกับโรงพยาบาลสมัยใหม่ขึ้นที่เขตกาซึม  ปาซา  (kasimpasa)  ในอิสตันบูล  แต่ดำเนินการได้ไม่นานถูกไฟไหม้ในปี ค.ศ.1822  อาคารเสียหายหมดจนต้องปิดดำเนินการในที่สุด  ต่อมาในปี ค.ศ.1839  รัฐบาลออตโตมานได้สร้างสถาบันการแพทย์สมัยใหม่โดยใช้ชื่อว่ามักตาบ  ติบบิยยะห์  อัดลียะห์  ชาฮาแน  (maktebi tibbiye adliye sahane)  ขึ้นที่เขตคาลาตาสาร่าย  เมืองอิสตันบูล  หลังจากอาณาจักรออตโตมานเข้ายุคตันซีมาต  โรงพยาบาลและสถาบันการแพทย์สมัยใหม่ได้เข้าแทนที่บทบาทของสถานพยาบาลดารุซซิฟาอ  และดารุซซิฟาอแห่งอาณาจักรออตโตมานค่อยๆ ลดจำนวนและสูญหายไปในที่สุด

                5.  เตกแก  (tekke)  และซาวิยะห์  (zaviye)
                เตกแกหรือซาวิยะห์เป็นสถาบันการศึกษารูปแบบหนึ่งที่อาณาจักรออตโตมานสืบทอดมรดกจากอาณาจักรเซลจูกและอาณาจักรอิสลามอื่นๆ  ในอดีตเตกแก  หรือซาวิยะห์  เป็นอาศรมหรือที่พำนักและปฏิบัติธรรมของบรรดานักซูฟีและเดรวิซ  (dervish)
                เตกแกและซาวิยะห์มีบทบาททางการศึกษาของชุมชนออตโตมานมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการอบรมขัดเกลาจิตใจโดยใช้ศาสนาควบคู่กับตะซัววุฟตามแนวทางของแต่ละสำนัก  ผู้ที่เลื่อมใสสำนักใดก็จะไปที่เตกแกหรือซาวิยะห์ของสำนักนั้นๆ  ตามที่ตนเลื่อมใส  เพื่อรับฟังการเทศนาธรรมจากนักซูฟี  หรือเดรวิซพร้อมกับเข้ารับการอบรมขัดเกลาจิตใจตามแนวทางของสำนักนั้นๆ  ผู้ที่ไม่มีโอกาสเข้าศึกษาในสถาบันมัดราซะห์นิยมอาศัยเตกแกและซาวิยะห์ในการเรียนรู้ศาสนาและแนวทางตะซัววุฟในอนาโตเลียมีนักซูฟีและเดรวิซเกิดขึ้นที่สำคัญหลายท่านด้วยกัน  เช่น  เมาลานา  ญะลาลุดดีน  รูมี  (mawlana jalaluddin rumi)  ยูนุส  เอมแร  (yunus emre)  หะยี  ไบรัม  วาลี  (haci bayram veli)  หะยี  เบกตัซ  วาลี  (haci bektas veli)  บทบาทของเตกแก และซาวิยะห์มีเรื่อยมาควบคู่กับสังคมออตโตมาน  จนกระทั่งรัฐบาลออตโตมานได้ออกกฎหมายสั่งปิดเตกแกและซาวิยะห์ในปี ค.ศ.1925
                นอกจากการศึกษาในระบบตามที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว  มัสยิด  ห้องสมุด  จวนของบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่  หรือที่พำนักของบรรดาอุลามาอ ล้วนแต่มีบทบาทในกิจกรรมการศึกษาของอาณาจักรออตโตมาน  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 19  มีนักศึกษาจำนวนมากนิยมไปศึกษาหาความรู้ตามจวนของบรรดาขุนนางชั้นผู้ใหญ่  และตามบ้านของบรรดาอุลามาอที่มีชื่อเสียงในยุคนั้นๆ  อาทิเช่น  kethudazade mehmed arif, minhat pasa, sadrazam yusuf kamal pasa  เป็นต้น

              
อ้างจากเอกสารประกอบการสอนรายวิชาหลักการบริหารในอิสลาม3 สาขารัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น