วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2554

อาณาจักรอิสลามสมัยราชวงศ์อุษมานียะห์หรือออตโตมาน


การถือกำเนิดของราชวงศ์อุษมานียะห์ (ออตโตมาน)
                อาณาจักรออตโตมานหรืออุษมานียะห์เป็นประวัติศาสตร์อิสลามช่วงหนึ่งมีระยะเวลายาวนานถึง 600 ปี ที่มุสลิมไม่ควรลืมเพราะ เป็นช่วงของอิสลามได้ขยายเข้าสู่ยุโรป พิชิตเมืองคอนสแตนติโนเปิลได้สำเร็จ กษัตริย์แห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ที่น่ากล่าวถึง เช่น สุลต่านเมห์เมด อัลฟาเตะห์ ซึ่งน่าจะเป็นอามิร์ที่ดีที่สุด ตามที่ศาสดามุฮำหมัดได้กล่าวความว่า แท้จริงกรุงคอนสแตนติโนเปิลจะถูกพิชิตโดยพวกเจ้า และแท้จริงอะมีรที่ดีที่สุดคืออามิร์ที่สามารถพิชิตมันและแท้จริงกองทหารที่ดีที่สุดคือกองทหารของอามิร์นั้น
                พวกออตโตมานเป็นชนกลุ่มใหญ่กลุ่มหนึ่งซึ่งเป็นชนเผ่านักรบที่ดุร้ายมีภูมิลำเนาเดิมอยู่ตะวันออกไกลและเอเชียกลาง  ซึ่งบรรพบุรุษของพวกนี้ได้อพยพมาสู่ตะวันตก พวกซีเรียน ฮั่น มงโกล และตาตาร์ ก็ล้วนมีถิ่นดั้งเดิมมาจากบริเวณทุ่งหญ้าแห่งเอเชียตะวันออกและเอเชียกลางทั้งสิ้นเนื่องจากพวกออตโตมานใช้ม้าและธนูจึงทำให้พวกนี้เคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็วสามารถโจมตีข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ
                การสถาปนาอาณาจักรออตโตมานได้เริ่มจากการที่ชาวเติร์กมันเผ่าต่าง ๆ ได้อพยพเข้ามาตั้งรกรากในดินแดนอนาโตเลียเป็นจำนวนมากขึ้นโดยเฉพาะหลังสงคราม มาลาเกร์ต (Malazkirt) ในปี คศ.1072 ซึ่งเป็นสงครามระหว่างชาวเซลจูกกับอาณาจักรใบแซนทีน
                สุไลมาน  ซาห์  ได้สถาปนารัฐเซลจูก แยกต่างหากจากอาณาจักรเซ็ลจูกที่ยิ่งใหญ่ (Great Selijuks)  ท่านได้รวบรวมดินแดนต่าง ๆ เข้าด้วยกัน สุไลมาน  ซาห์มีบุตรชาย  คน  บุตรคนที่  3-4  คือแอร์ตุฆรุล  และดุนดาร์ ได้นำพรรคพวกเข้าไปในอนาโตเลียและได้รับความอนุเคราะห์จากสุลต่านอลาอุดดีนไกกุบาดที่ 1 (Ala-ud-Din-Keykubad)  แห่งราชวงศ์เซลจูกอันยิ่งใหญ่  หลังจากที่สุลต่านแอร์ตุฆรุลสิ้นพระชนม์เมื่อ ปี ค.. 1288  บุตรแอร์ตุฆรุลคืออุษมาน  คาน (Uthman  Khan)  ได้ขึ้นมาสืบทอดต่อไป
                การสืบทอดทรัพย์สินของครอบครัวและตำแหน่งผู้บัญชาการทหารของสุรต่านเซลจูก  ซึ่งในเวลานั้นคือสุลต่านเฆียซุดดีน  คอยคุสโร  ด้วยความกล้าหาญและความชาญฉลาดของอุษมาน  สุลต่านเซลจูกได้ยกลูกสาวให้แต่งงานกับอุษมาน
                อุษมานได้ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้นำพรรคพวกเป็นอย่างดีและในตำแหน่งแม่ทัพหน้าของสุลต่านแห่งเซลจูกรูมีด้วยความกล้าหาญและซื่อสัตย์  สุลต่านจึงพระราชทานนามว่า อุษมาน เบย์
                หลังจากการล่มสลายของอาณาจักรเซลจูก  เนื่องจากถูกรุกรานโดยชาวมงโกล กลุ่มต่าง ๆ ได้ตั้งตัวเป็นอิสระ รวมทั้งพรรคพวกของอุษมานก็ได้ตั้งรัฐอิสระและได้ประกาศตนเป็น ปะดีซะห์อุษมานที่ 1 (อุษมานกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่) เป็นการสถาปนาอาณาจักรออตโตมานขึ้นเมื่อประมาณ ปี ค.. 1288 ท่านได้แผ่ขยายอาณาจักรอย่างกว้างขวาง สามารถปราบพวกโรมันและตาร์ตาร์ ซึ่งเคยเป็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดของมุสลิมได้สำเร็จ และท่านได้ทิ้งร่องรอยของความยิ่งใหญ่ของอุษมานียะฮในรูปของสถาปัตยกรรม คือมัสยิด บลูมอสค์หรือมัสยิดสีฟ้าที่ยิ่งใหญ่ ณ กรุงอิสตันบูล
                อาณาจักรอุษมานียะฮได้แผ่ขยายไปยัง โคตาเมีย (kotahia) ในทางตอนใต้และชายฝั่งของทะเลดำในทางตอนเหนือและแม่น้ำยูเฟรติสทางตะวันออกไปจนถึงช่องแคบยิบรัลตา ทางทิศตะวันตก หลังจากการพิชิตดินแดนกรีกออสเตรีย ฮังการีบางส่วนไว้ได้แล้ว สุลต่านก็รุกคืบหน้าต่อไปเรื่อยจนดูเหมือนว่าในไม่ช้ายุโรปทั้งหมดจะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของมุสลิม ในช่วงเวลาอันวิกฤตนั้นเองที่จักรพรรดิโรมันสามารถยุยงตัยมูร์  ลิงก์ (Taimur  Ling) ให้ต่อต้าน สุลต่านได้ประสบผลสำเร็จ  ตัยมูร์ลิงก์ได้เข้ารุกรานอาณาจักรอุษมานียะฮ  สุลต่าน  บายะซีด ต้องประสบความพ่ายแพ้ในการทำสงครามและถูกจับเป็นเชลยและเสียชีวิตในเวลาต่อมา (บรรจง  บินกาซัน 2544 : 102)
                ภายใต้แผนการชั่วร้ายของตะวันตก ความเฉื่อยชาของสุลต่าน และความขัดแย้งภายในอาณาจักรเอง ออตโตมานถูกโจมตีและยึดจังหวัดหรือแคว้นต่างๆ จนออตโตมานไม่สามารถรักษาความยิ่งใหญ่ได้และต้องเสื่อมอำนาจและล่มสลายในปี ค.. 1922
                ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอุษมานียะห์  เดิมจากเผ่าฆัซซาจากเชื้อชาติตุรกี  ซึ่งได้อาศัยอยู่ในมองโกลทางตอนเหนือของประเทศจีน  พวกเขาได้ทิ้งประเทศดั้งเดิม  และอพยพไปยังประเทศตุรกีสถาน  และได้รวมกับเผ่าพันธุ์จากประเทศเปอร์เซียที่เดินทางมาจากเอเซีย  พวกเขาได้รับอิสลามตั้งแต่ศตวรรษที่ 9 และ 10 ได้อาศัยอยู่ในเอเชียกลาง ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 - 13 หลังจากนั้นได้อพยพผ่านเปอร์เซียและอิรัก
                สุดท้ายได้ตั้งหลักที่แม่น้ำอัลฟูรอต  เพื่อที่จะหลีกห่างจากการสู้รบของมองโกลซึ่งเคยรบกับเอเชียกลางและเอเชียตะวันตกอยู่ภายใต้การนำของแม่ทัพที่รู้จักกัน  คือ  เจ่งกีสข่าน  หลังจากนั้นพวกเขาได้อพยพไปยังอาเซอร์ไบจานและอามีเนีย (Arminia)  จนถึงเอเชียน้อย  ภายใต้ผู้นำของแอร์ตุฆรูล บุตรสุไลมาน  ชาห์ เป็นชนเผ่ากาเยอ (Kayi)  ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของเผ่าโอฆุส  ซึ่งมีจำนวน  100  ครอบครัว  ภายใต้คุ้มครอง  440  คน ทหารม้า (ฮาซัน  นิอมาตุลลอฮ. 1418 : 1-2)
                แอร์ตุฆรูล  ได้นำพวกเขาถึงอนาโตเลียก็ได้ขออนุญาตจากสุลต่านอลาออุดดีนไบกุบาด  สุลต่านแห่งเซลจูกรูมี (เซลจูกแห่งอนาโตเลีย) ผู้มีอำนาจในยุคนั้นให้พวกตนได้ทำมาหากินและเลี้ยงสัตว์ในดินแดนของสุลต่าน  สุลต่านก็ได้อนุญาต  ขณะเดินทางเพื่อสู่ดินแดนที่สุลต่านอนุญาตนั้น  แอร์ตุฆรูลต้องหยุดชะงักเมื่อไดพบการสู้รบระหว่าง  ฝ่าย  ฝ่ายหนึ่งมีทหารจำนวนมาก  อีกฝ่ายหนึ่งมีทหารจำนวนน้อย  แอร์ตุฆรูล  ได้ตัดสินใจเข้าสมทบกับฝ่ายที่มีทหารน้อยกว่า  ทำให้พวกนั้นเกิดกำลังใจฮึดสู้ขึ้นมา  พวกที่น้อยกว่านี้ที่แท้ก็คือ  ทหารฝ่ายสุลต่านอลาออุดดีน  ซึ่งกำลังต่อสู้กับทหารมองโกล  เพื่อป้องกันการรุกรานของมองโกล  เหตุการณ์สู้รบพลิกผันทันที  ทำให้ฝ่ายมองโกลไม่สามารถต่อต้านทหารสุลต่านอลาออุดดีนได้  ทหารสุลต่านกลายเป็นฝ่ายรุกจนทหารมองโกลต้องถอยร่นหนีออกไป (ฮาซัน  นิอมาตุลลอฮ. 1418 ; 1-3)
                หลังจากได้รับชัยชนะ  สุลต่านอลาออุดดีนทราบข่าวพอพระทัยเป็นอย่างมากจึงเชิญแอร์ตุฆรูลเข้าเฝ้าในพระราชวัง  สุลต่านทรงมอบเสื้อผ้าให้  มอบดินแดนให้กว้างขวางกว่าเดิม  และทุกครั้งที่มีสงครามก็จะมีทหารแอร์ตุฆรูลเข้ามาสมทบกับทหารสุลต่าน  ทุกครั้งที่เข้ารบก็ได้รับชัยชนะทุกครั้ง  สุลต่านก็มอบดินแดนเพิ่มเติม  ทำให้พวกเขามีทรัพย์สินเพิ่มเติมมากขึ้น  ทหารของแอร์ตุฆรูลได้รับสมญานามจากสุลต่านว่า "มูก็อดดามะฮสุลต่าน (Mugadamah Sultan)" หมายถึงทัพหน้าของสุลต่าน เป็นกองหน้ากล้าตายให้กองทัพสุลต่าน (ดลมนรรจน์ บากา และมูหะมมัดรอฟลีแวหะมะ, 2542: 3)
                ในปี  ฮ.. 687 ตรงกับ ค.ศ. 1280 แอร์ตุฆรูลได้เสียชีวิต สุลต่านอลาออุดดีนเห็นว่า อุษมาน บุตรแอร์ตุฆรูล มีความกล้าหาญและเข้มแข็งในการรบ น่าจะเป็นผู้นำต่อไปได้ จึงให้อุษมานเป็นผู้นำแทนบิดาต่อไป
                อุษมานเป็นผู้ก่อตั้งรัฐอิสลามในสมัยหนึ่ง  ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม "อาณาจักรอุษมานียะห์" (ราชวงศ์อุษมานียะห์) และได้ก่อตั้งขึ้นในปี  687  ฮิจเราะห์ศักราช  และได้ใช้บทบาทในการนำประชาชาติอิสลามและโลกอิสลามถึง  ศตวรรษ  พื้นที่การปกครองจากบูดาฟีซริมตลิ่งแม่น้ำดาตู  จนถึงอัศวานที่ริมตลิ่งแม่น้ำไนล์ที่อียิปต์  และจากแม่น้ำอัลฟูรอต  จนถึงภูเขายิบรอตาร์ (Gibratar) ทางตอนเหนือของประเทศโมรอคโค
                อุษมานรับตำแหน่งแม่ทัพหน้าของสุลต่านแห่งเซลจูกรูมีด้วยความยินดีและซื่อสัตย์  ทหารของอุษมานยังเป็นทัพหน้าเหมือนเดิมด้วยความเคารพเชื่อฟัง  ซื่อสัตย์ต่อสุลต่าน  และมีความสามารถในการรบ  สุลต่านจึงพระราชทานนามว่า "เบย์" (Bey)  ต่อท้ายเป็น "อุษมาน  เบย์สุลต่านยังได้มอบดินแดนเพื่อปกครองให้กว้างขวางออกไปอีก  และอนุญาตให้อุษมานใช้เงินตราของตนเองได้  อุษมานยังสามารถเรียกชื่อตนในคุฎเบาะฮวันศุกร์ จึงจึงนับว่าอุษมานเป็นกษัตริย์องค์หนึ่ง แต่เป็นกษัตริย์ที่ไร้พระราชวัง
                หลังจากอาณาจักรเซลจูกรมีความพ่ายแพ้กองทัพมองโกลในสมรภูมิโกแสดาฆ (Kosedag) ในปี ค.. 1243 จึงตกเป็นรัฐใต้อาณัติของมองโกล และล่มสลายไปในที่สุดในปี ค.. 1308  อุษมานจึงแยกตัวเป็นอิสระและได้ประกาศตนเป็น "ปะดีชะห์อุษมาน (Pardisyah  al  Osman)" มีความหมายว่า "อุษมานกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่" ปะดีชะห์อุษมานได้เลือกเมืองโซฆุต เป็นเมืองหลวง  พระองค์ได้พัฒนาการทหาร  พัฒนากองทัพให้เข้มแข็ง  พัฒนาดินแดนให้เจริญยิ่งขึ้น  ปกป้องดินแดนให้มั่นคงจากการรุกรานจากอริราชศัตรู  หลังจากนั้นปะดีชะห์อุษมานได้ส่งสาส์นไปยังแคว้นต่างๆ ในแถบเอเชียน้อยประกาศว่า "ตนเป็นปะดีชะห์ที่ยิ่งใหญ่แห่งเอเชียน้อยและเรียกร้องให้กษัตริย์ต่างๆ หรือผู้นำแคว้นต่างๆ เข้ามาภักดีต่อตน
                ปะดีชะห์อุษมานนี้เองเป็นผู้สถาปนาราชวงศ์อุษมานียะห์หรืออาณาจักรอุษมานียะห์  แล้วสถาปนาตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์ทรงพระนามว่า "ปะดีชะห์อุษมานที่ 1" นักประวัติศาสตร์มักเรียกว่า "สุลต่านอุษมานที่ 1” จึงนับว่าพระองค์เป็นสุลต่านองค์แรกแห่งราชวงศ์อุษมานียะห์ พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์ในปี ค.. 1326 (ดลมนรรจน์ บากา และมูหัมมัดรอฟลี แวหะมะ 2542: 3-4)
                และอาณาจักรอุษมานียะห์ล่มสลายในปี ฮ.. 1340 การล่มสลายอาณาจักรอุษมานียะห์ก็นับว่าเป็นการสิ้นสุดของรัฐอิสลาม (คีลาฟะฮ อิสลามียะฮ) การล่มสลายในครั้งนั้นเป้นแผนหนึ่งของยิวนานาชาติโดยผ่านองค์กรอัลอิตตีฮาดวาตูรอคี ซึ่งนำโดยมุสตอฟา กามาล อาตาเติกฮ เป็นยิวเชื้อชาติตุรกีซึ่งเขาแปลงสภาพเป็นมุสลิม (ฮาซัน นิอมาตุลลอฮ, 1418 : 4)
รายนามสุลต่านแห่งอาณาจักรอุษมานียะห์
รายนามสุลต่านแห่งอาณาจักรอุษมานียะห์                  ปีกำเนิด(..)   ปีครองราชย์ (..)
                1.  สุลต่านอุษมานที่ 1                                       1258                       1299 - 1326
                2.  สุลต่านอรฮันที่ 1                                          1281?                     1326 - 1360
                3.  สุลต่านมุร็อดที่ 1                                           1326                       1360 - 1389
                4.  สุลต่านบายาซิดที่ 1                                      1360                       1389 - 1403
                5.  สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 1                                    1389                       1403 - 1421
                6.  สุลต่านมูร็อดที่ 2                                           1403        ช่วงที่ 1 1421 – 1444
                                                                                                                ช่วงที่ 2 1446 - 1451
               7.  สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 2 (มูฮัมหมัดผู้พิชิต) 1432            ช่วงที่ 1 1444 - 1446
                                                                                                                ช่วงที่ 2 1451 - 1481
                8.  สุลต่านบายาซิดที่ 2                                      1448                       1481 - 1512
                9.  สุลต่านซาลิมที่ 1                                           1467/1470            1512 - 1520
                10.สุลต่านสุไลมานที่ 1 (อัลกอนูนีย์)             1495                       1520 - 1566
                11.สุลต่านซาลิมที่ 2                                           1524                       1566 - 1574
                12.สุลต่านมูริดที่ 3                                              1546                       1574 - 1595
                13.สุลต่านเมห์เมดที่ 3                                       1566                       1595 - 1603
                14.สุลต่านอะห์เมดที่ 1                                      1550                       1603 - 1617
                15.สุลต่านมุสตอฟาที่ 1                                     ?              ช่วงที่ 1  1617 - 1618
                                                                                                               ช่วงที่ 2  1622 - 1623
                16.สุลต่านอุษมานที่ 2                                        1604                       1618 - 1622
                17.สุลต่านมูร็อดที่ 4                                           1612                       1623 - 1640
                18.สุลต่านอิบรอฮีม                                            1615                       1640 - 1648
                19.สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 4                                    1642                       1648 - 1687
                20.สุลต่านสุไลมานที่ 2                                     1642                       1648 - 1687
                21.สุลต่านอะห์เมดที่ 2                                      1643                       1691 - 1695
                22.สุลต่านมุสตอฟาที่ 2                                     1664                       1695 - 1703
                23.สุลต่านอะห์เมดที่ 3                                      1673                       1703 - 1730
                24.สุลต่านมะห์มูดที่ 1                                       1696                       1730 - 1754
                25.สุลต่านอุษมานที่ 3                                        1699                       1754 - 1757
                26.สุลต่านมุสตอฟาที่ 3                                     1717                       1757 - 1774
                27.สุลต่านอับดุลอามิดที่ 1                                1725                       1774 - 1789
                28.สุลต่านซาลิมที่ 3                                           1761                       1789 - 1807
                29.สุลต่านมุสตอฟาที่ 4                                     1779                       1807 - 1808
                30.สุลต่านมะห์มูดที่ 2                                       1785                       1808 - 1839
                31.สุลต่านอัลดุลมะญีดที่ 1                               1823                       1839 - 1961
                32.สุลต่านอับดุลอาซีซ                                       1830                       1861 - 1876
                33.สุลต่านมูร็อดที่ 5                                           1840                       1876 - 1909
                34.สุลต่านอับดุลฮามิดที่ 2                                1842                       1876 - 1909
                35.สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 5 (มูฮัมหมัดเรซาด) 1844                        1909 - 1918
                36.สุลต่านมูฮัมหมัดที่ 6 (มูฮัฟมัดวะฮีดุดดีน) 1861                   1918 – 1922

อ้างจากหนังสือหลักการบริหารในอิสลาม3

1 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ8 ธันวาคม 2554 เวลา 03:47

    อย่กได้ข้อมูลเกี่ยวกับ สาเหตุการล่มสลายการอณาจักอุมัยยะฮฺ หามีบางครับ

    ตอบลบ