นายกรัฐมนตรีกับการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ดับไฟใต้
ประเวศ วะสี
(๒๔ ก.พ. ๕๐)
-๒-
ความรุนแรงในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ทวีมากขึ้น ซึ่งถ้าแก้ไม่ได้หรือแก้ผิด การนองเลือดจะมากขึ้น และลามมาถึงในกรุง ที่แก้ไม่ได้เพราะขาดความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์แต่ละฝ่ายก็พูดและทำไปตามความรู้สึกนึกคิดของตนซึ่งมีอยู่อย่างจำกัด จะไปฝากความหวังไว้กับศอ.บต.ไม่ได้ เพราะปัญหามันใหญ่และซับซ้อนเกินศอ.บต.แล้ว นายกรัฐมนตรีและประธานคมช.จะต้องเป็นผู้นำในการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ในทุกภาคส่วน คือคณะองคมนตรี รัฐบาล สภานิติบัญญัติ กองทัพ ข้าราชการ ผู้นำชุมชนท้องถิ่น นักวิชาการสื่อมวลชน ผู้นำทางศาสนา และประชาสังคม มาสร้างยุทธศาสตร์ดับไฟใต้ร่วมกันอย่างเป็นเอกภาพ ซึ่งขอเสนอมาตรการ ๗ ประการให้พิจารณา ดังต่อไปนี้
๑. ใช้คอมมานโดประกบผู้ก่อความรุนแรงให้ได้ การใช้ทหาร ตำรวจตามปรกติไม่เพียงพอ และตกเป็นเหยื่อผู้ก่อการร้ายอยู่บ่อยๆ ต้องฝึกทหารและตำรวจผู้มีความสามารถพิเศษอย่างยิ่งยวด ประกบ จับกุม ป้องกัน ผู้ก่อความรุนแรงให้ได้ผลอย่างจริงจัง ถ้ายุติการฆ่ารายวันไม่ได้ทุกอย่างจะเลวร้ายมากขึ้น
๒. รับเด็กหนุ่มในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มาอยู่ในกองพันสันติเสนาให้หมด
ผู้ที่ถูกชักนำให้ก่อความรุนแรงเป็นคนหนุ่มอายุ ๑๘-๒๕ โดยบ่อยๆ ครั้งพ่อแม่ก็ไม่รู้หรือทำอะไรไม่ได้ แม่บางคนรู้สึกดีใจที่ลูกถูกเกณฑ์เป็นทหารเพราะรู้ว่าลูกจะปลอดภัยและมีเงินเดือนกินควรเปิดรับเด็กหนุ่มอายุ ๑๘-๒๕ ทั้งหมดในสามจังหวัดภาคใต้เข้ามาอยู่ในกองพันพิเศษที่จัดตั้งขึ้นเป็นการเฉพาะ อาจเรียกว่ากองพันสันติเสนา โดยได้รับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงรับ
อนุศาสนาจารย์อิสลามจำนวนมากเข้ามาอยู่ในกองพัน เพื่อสั่งสอนอบรมคนหนุ่มเหล่านี้ เพื่อให้พ่อแม่พี่น้องและผู้ใหญ่ในชุมชนสบายใจว่าเด็กเหล่านี้จะไม่ถูกล้างสมองให้เลิกมีชีวิตทางศาสนาและควรมีการฝึกอบรมในเรื่องการพัฒนาชุมชนอย่างสอดคล้องตามวัฒนธรรมด้วยมาตรการนี้จะลดพลังก่อความรุนแรงลงเกือบหมด และเพิ่มพลังทางสันติ
๓. ส่งเสริมธุรกิจเพื่อสันติภาพ ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้มีนักธุรกิจทั้งที่เป็นคนมุสลิมและคนจีน รัฐควรร่วมมือกับภาคธุรกิจทั่วทั้งพื้นที่ให้มีการจ้างงานอย่างทั่วถึง คนในสามจังหวัดมีความยากจนไม่มีรายได้เป็นจำนวนมาก และมีความบีบคั้นอย่างยิ่ง ถ้าทำให้คนมีงานทำมีรายได้ให้เต็มพื้นที่จะลดความกดดันในทางที่จะไปก่อความรุนแรงลง และเพิ่มพลังทาง
สันติภาพ
๔. ส่งเสริมให้มีสภาผู้นำชุมชน ในชุมชนขนาดหมู่บ้านมีคนประมาณ ๕๐๐-๑,๐๐๐ คนประชาชนจะมีส่วนร่วมโดยตรง เป็นประชาธิปไตยโดยตรงไม่ต้องใช้ตัวแทน ในชุมชนจะมีผู้นำตามธรรมชาติที่เป็นคนฉลาด คนดีที่ผู้คนเคารพนับถือ ผู้นำตามธรรมชาติเหล่านี้ โดยทั่วไปมีคุณสมบัติมากกว่าผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งหรือแต่งตั้ง ควรมีสภาผู้นำชุมชนในระดับตำบลซึ่งมาจากการรวมตัวของผู้นำชุมชนจากทุกหมู่บ้าน และมีสภาผู้นำชุมชนระดับจังหวัดซึ่งมีผู้นำชุมชนที่มาจากทุกตำบล ผู้นำชุมชนเหล่านี้จะรู้เรื่องของชุมชนดีที่สุด รัฐควรส่งเสริมผู้นำชุมชนให้มีบทบาทในการพัฒนาต่างๆ ที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมชุมชน และภาครัฐควรรับข้อเสนอแนะหรือ
-๓-
คำแนะนำของสภาผู้นำชุมชนมาปฏิบัติให้มากที่สุด ประชาธิปไตยชุมชนนี้จะเป็นประชาธิปไตยฐานราก และส่งเสริมให้มีสันติภาพมากที่สุด
๕. ส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่ ขณะนี้มีองค์กรปกครองท้องถิ่นรวมกันประมาณ ๘,๐๐๐ องค์กรในรูปของ อบต. เทศบาล และอบจ. องค์กรเหล่านี้เล็กเกินทำให้พลังสร้างสรรค์ทางเศรษฐกิจ สังคมและอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมไม่พอเพียง ควรส่งเสริมให้จังหวัดใกล้เคียงที่มีวัฒนธรรมเดียวกันรวมตัวกันเป็นเขตการปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่
(กรุงเทพมหานครเป็นการปกครองท้องถิ่นที่มีประชากรตั้ง ๑๐ ล้านคน) อาจใช้ชื่อโบราณเรียกว่า มณฑล อาจมีทั้งหมด ๑๔-๑๕ มณฑล เช่น มณฑลล้านนา มณฑลอีสานเหนือ อีสานใต้อีสานกลาง มณฑลทวารวดี มณฑลปัตตานี...มณฑลเหล่านี้สามารถจัดการเศรษฐกิจ การศึกษาสังคม การสื่อสาร ความปลอดภัยอันสอดคล้องกับวัฒนธรรมของตัวเอง ภายใต้ความเป็นราชอาณาจักรอันหนึ่งอันเดียวกัน การมีเขตปกครองท้องถิ่นขนาดใหญ่จะเป็นปัจจัยยุติการนองเลือด
อย่างเด็ดขาดและถาวร ไม่มีใครจะอยากแยกดินแดนอีกต่อไป
๖. ส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับโลกมุสลิมให้หมด รัฐไทยควรส่งเสริมความเข้าใจอันดีกับโลกมุสลิมทั้งหมด ให้เห็นความตั้งใจอันดี การส่งเสริมความยุติธรรมและสันติภาพ การมีความเข้าใจอันดีกับโลกมุสลิมจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน และลดพลังของการก่อความรุนแรง
๗. การเจรจาเรื่องการวางอาวุธและร่วมพัฒนา มาตรการทั้ง ๖ ประการข้างต้นคือการสร้างเงื่อนไขการวางอาวุธ ที่ทำให้พี่น้องของเราที่จับอาวุธคิดว่าการวางอาวุธ และมีโอกาสร่วมพัฒนานั้นดีกว่าการที่จะฆ่าฟันกันต่อไป เราต้องมาร่วมกันสร้างสันติภาพด้วยการเคารพศักดิ์ศรีและคุณค่าแห่งความเป็นมนุษย์ของกันและกัน หากคนไทยต่างเชื้อชาติและศาสนาสามารถอยู่ร่วมกันฉันท์พี่น้องบนดินแดนแห่งนี้ เราจะเป็นพลังแห่งสันติภาพเพื่อช่วยโลกที่เต็มไปด้วยความรุนแรงได้ด้วย
มาตรการทั้ง ๗ ประการต้องเชื่อมโยงกันเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งหรือองค์กรใดองค์กรหนึ่งจะนำในการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์นี้ได้ นอกจากนายกรัฐมนตรีในยุทธศาสตร์นี้อะไรที่ต้องทำก็ต้องทำให้ได้โดยรวดเร็ว ไม่ใช่ปล่อยให้ติดนั่นติดนี่ไปตามยถากรรม เช่น ติดกฎหมาย กฎ ระเบียบ ขาดงบประมาณ ฯลฯ การปล่อยให้เรื่องราวเป็นไปตามยถากรรมบ้านเมืองฉิบหายลูกเดียว ถ้านายกรัฐมนตรีไม่แสดงความเป็นผู้นำในการแก้ปัญหา บ้านเมืองจะนองเลือดมากยิ่งขึ้น ขอให้เพื่อนคนไทยทั้งหลายสนับสนุนให้นายกรัฐมนตรีเป็นผู้นำในการสร้างความเป็นเอกภาพในยุทธศาสตร์ ยุติความรุนแรงนองเลือดในชายแดนใต้ให้ได้อย่างเด็ดขาดและถาวร
***************************************__
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น