วันพฤหัสบดีที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

       
          เมื่อกล่าวถึงนาซีและอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ใครหลายๆคนคงจะนึกถึงแต่บทบาทอันเลวร้ายของเขา ฆาตกร ทรราช และนักกระหายสงคราม ฯลฯ แต่นั่นก็เป็นเพียงข้อเท็จจริงที่ชนรุ่นหลังได้ตัดสินเขาจากผลงานที่เขาเคยสร้างไว้ในทางลบเท่านั้น แต่เบื้องลึกและเบื้องหลังของเขาเป็นอย่างไรนั้น น้อยคนนักที่จะทราบและกล่าวถึง ฮิตเลอร์ในวัยเด็กนั้นเรียนเก่งมากและเคร่งศาสนา จนเพื่อนๆ ไว้ใจให้เป็นหัวหน้า แต่ฮิตเลอร์เองไม่อยากเป็นข้าราชการ เพราะฮิตเลอร์ชอบศิลปะ เขาอยากจะเป็นจิตรกรมากกว่าข้าราชการ สิ่งนี้ทำให้ฮิตเลอร์เปลี่ยนไปสนใจในศาสตร์ต่อสู้และศิลปะ ทำให้ผลการเรียนตกตํ่าลงเรื่อยๆ จนผลการเรียนเริ่มแย่ลง เพื่อนๆ เลิกไว้ใจ ปลดฮิตเลอร์จากการเป็นหัวหน้าและบิดาก็ดุด่าฮิตเลอร์ เกรงว่าอนาคตฮิตเลอร์จะไม่สามารถเข้ารับราชการได้ ดังนั้นฮิตเลอร์จึงเลือกที่จะทำสองประการคือ หนึ่งจะต้องเป็นผู้ที่อยู่ในคณะชาตินิยม และสองจะศึกษาวิชาประวัติศาสตร์อย่างลึกซึ้งเพื่อให้เข้าใจความรู้สึกทั่วไป เนื่องจากฮิตเลอร์เห็นว่าเยอรมันได้ถูกชนชาติอื่นกลืนกินเรื่อยมา แม้แต่กรุงเวียนนา ประเทศออสเตรีย (ที่ฮิตเลอร์เคยอาศัยอยู่ในวัยหนุ่ม) กษัตริย์ของออสเตรียก็พยายามแก้ปัญหานี้ แต่โดยวิธีการที่หันไปพึ่งเชคโกสโลวาเกีย โดยไม่สนใจแนวคิดที่จะรวมประเทศกับเยอรมัน อันเป็นเหตุให้ อาร์คดยุค ฟรานซิส เฟอร์ดินันด์ (Franz Ferdinand) มงกุฎราชกุมารแห่งออสเตรียถูกลอบสังหารโดย กาฟรีโล ปริซีป (Gavrilo Princi) แห่งกลุ่มนักอนุรักษ์นิยมชาวเซิร์บส์ อันเป็นจุดแตกหักที่ทำให้เกิดสงครามโลก ครั้งที่ 1.... ด้วยความที่ฮิตเลอร์เป็นคนที่ชอบศึกษาประวัติศาสตร์และเคร่งศาสนา(คริสต์)อย่างมาก ด้วยเหตุนี้ที่ทำให้เขานั้นเห็นความร้ายกาจของชาวยิวตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นำมาซึ่งหายนะครั้งยิ่งใหญ่ในปฏิบัติการล้างเผ่าพันธุ์ยิวในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
                 สงครามโลกครั้งที่ 2
เชคมุหัมมัด อามีน อัลหุสัยนีย์ มุฟตีแห่งปาเลสไตน์ กำลังสนทนากับอดอล์ฟ  ฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซี
หลังจากไฟที่ปะทุของสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้มอดไปในปี ค..1918 และ รัฐคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺก็ได้หายจากแผนที่โลกไป หลังจากนั้นไม่นาน ในปี ค..1924 ประเทศต่างๆที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของรัฐคิลาฟะฮฺก็กลายเป็นประเทศเล็กๆย่อยๆไปอย่างปราศจากผู้นำ อภิมหาสงครามโลกได้ปะทุขึ้นครั้งที่ 2 หลังจากนั้นอีกในปี ค.. 1939 โดยระหว่างกลุ่มประเทศอักษะ(Axis) ที่นำโดยเยอรมัน ได้เปิดฉากสงครามขึ้นกับฝ่ายสัมพันธมิตร(Allies) ที่นำโดยสหราชอาณาจักร (United Kingdom) สงครามครั้งนี้ยืดเยื้อเป็นเวลา 6 ปี คร่าชีวิตทหารและพลเรือนมากมาย สงครามครั้งนี้มีเหตุการณ์ที่สำคัญที่มุสลิมควรศึกษาและตั้งข้อสังเกตกับเหตุการณ์นี้มากๆ นั่นก็คือ...เหตุการณ์การกวาดล้างเผ่าพันธุ์ยิว ซึ่งชาวยิวถูกฆาตรกรรมไปทั้งหมดประมาณ 5-6 ล้านคน เป็นชาวยิวรวมทั้งชาวโปแลนด์ที่เป็นยิว 3 ล้านคน ในเหตุการณ์ครั้งนี้ (รวมถึง 10,000-25,000 คน ที่เป็นพวกรักร่วมเพศอีกด้วย) ชาวยิวจากทั่วยุโรปต้องระหกระเหินหนีตายจากแผนการล้างเผ่าพันธุ์ยิวของฮิตเลอร์และส่วนใหญ่ใช้โอกาสนี้หนีจากยุโรปมาสู่ดินแดนปาเลสไตน์ ซึ่งตอนนั้นยังอยู่ใต้อาณัติของอังกฤษ (อุษมานียะฮฺเสียปาเลสไตน์ให้กับอังกฤษเมื่อสงครามโลกครั้งที่1) ชาวยิวกลุ่มแล้วกลุ่มเล่าอพยพมาอยู่ ณ ดินแดนอัลกุดส์ (เยรูซาเล็ม) ดินแดนที่พวกเขาใฝ่ฝันมาเนิ่นนานที่จะเป็นเจ้าของ แต่ทว่าพวกเขามาอยู่ ณ ดินแดนนี้ โดยมีท่าทีที่จะรุกรานเจ้าของบ้านเดิมนั่นก็คือชาวมุสลิมอาหรับ ขบวนการไซออนิสต์จัดตั้งกองกำลังทหารของตัวเองขึ้นมาอย่างไม่ได้รับอนุญาตและใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควรกับชาวมุสลิมและทำให้มุสลิมต้องเดือดร้อน ในขณะที่อังกฤษทำราวกับไม่รู้เห็นอะไรเลย แต่มุฟตีใหญ่แห่งอัลกุดส์ เยรูซาเล็ม เชคมุหัมมัด อามีน อัลหุสัยนีย์ (Muhammad Amin al-Husayni ผู้เป็นลุงของนายเยสเสอร์ อะเราะฟัต อดีตประธานาธิบดีปาเลสไตน์) มุฟตีผู้นี้มีประวัติอันโชกโชนในสมรภูมิรบเมื่อครั้นยังเป็นทหารในกองทัพอุษมานียะฮฺช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 มิอาจทนนิ่งดูดายต่อไปได้และคิดที่จะต่อสู้ แต่ทว่าบรรดาประเทศมุสลิมในสมัยนั้นตกตํ่าถึงขีดสุด ไม่มีอำนาจใดๆ แม้แต่ดินแดนของตัวเองก็ยังอยู่ใต้อาณัติของผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 1 เกือบทั้งสิ้น จึงไม่มีหนทางใดที่จะยับยั้งชาวยิวจากการอพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานในดินแดนอัลกุดส์ นอกจากจะไปพึ่งฮิตเลอร์ ผู้ที่เกลียดชังยิว! ” มุฟตีได้เดินทางไปเยอรมนีและฮิตเลอร์ได้ให้เกียรติมุฟตีโดยอนุญาตให้ท่านได้พบตนโดยการส่วนตัว มุฟตีจึงเสนอให้ อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ช่วยรับรองความปลอดภัยของชาวมุสลิมในตะวันออกกลางและขอให้มาช่วยแก้ไขปัญหาของชาวยิวที่ได้อพยพเข้ามาอยู่ในปาเลสไตน์ เนื่องจากเหตุการณ์กวาดล้างเผ่าพันธุ์ของนาซีครั้งนั้น อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ได้รับปากมุฟตีไป แต่เสนอข้อแลกเปลี่ยนให้มุฟตีสรรหากองกำลังมุสลิมมาเป็นกำลังหนุนฝ่ายเยอรมัน เพื่อป้องกันชาวมุสลิมบอสเนียจากการรุกรานของชาวเซิร์บ (Serb ที่ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวเซิร์บฆาตรกรรมหมู่มุสลิมไปมากมายในประเทศบอสเนีย-เฮอเซโกวินา) มุฟตีตอบตกลงและเดินทางไปยังบอสเนียโดยทันที และที่นั่นเขาเปรียบเสมือนทั้งผู้นำทางจิตวิญญาณและผู้นำทางทหารไปพร้อมๆกันกองกำลัง Handschar เป็นหนึ่งในกองกำลังทหารย่อยหน่วย SS (Schutzstaffel) ของเยอรมัน ซึ่งเป็นกองทหารส่วนตัวของฮิตเลอร์ Handschar เป็นกองกำลังหนึ่งเดียวที่ทหารเกือบทั้งกองเป็นมุสลิม และที่พิเศษสุดก็คือมีผู้นำเป็นมุฟตี กองทหารนี้เป็นกองทหารราบภูเขา ส่วนใหญ่เป็นมุสลิมบอสเนีย ก่อนหน้านี้บอสเนียเคยเป็นส่วนหนึ่งและเป็นกองกำลังที่สำคัญในสมัยอุษมานียะฮฺ ความแข็งแกร่งของพวกเขาคือความแข็งแกร่งที่ยังหลงเหลือจากจักรวรรดิอุษมานียะฮฺ แม้แต่ชุดเครื่องแบบทหารก็ยังคงรูปแบบคล้ายกับทหารของ อุษมานียะฮฺ และไม่ยอมที่จะทิ้งสัญลักษณ์ของคิลาฟะฮฺเป็นอันขาด นั่นก็คือตอรบูช2 มุฟตีและกองกำลัง Handschar ได้ต่อสู้สมรภูมิแล้วสมรภูมิเล่าและด้วยความประสงค์ของอัลลอฮพวกเขาก็ประสบชัยชนะมาโดยตลอด มุฟตีได้เรียกร้องมุสลิมอาหรับในเยอรมันให้เข้ามาร่วมรบต่อต้านยิวโดยการเข้าร่วมรบกับกองทัพเยอรมันเพื่อต่อต้านยิวไม่ให้ เข้าไปยึดครองในดินแดนของตน แต่ทว่าท้ายที่สุดสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยฝ่ายอักษะแพ้สงครามในปี ค.. 1945 โดยที่กองทัพเยอรมันยังไม่ทันที่ทำอะไรชาวยิวในปาเลสไตน์เลย ผ่านมาแล้ว 65 ปี สถานการณ์สถานการณ์ในปาเลสไตน์ ยังเหมือนเดิมและเลวร้ายยิ่งขึ้น จนในเวลานี้ไม่เหลือพื้นที่ๆเรียกว่าปาเลสไตน์ในแผนที่โลกอีกแล้ว เหลือเพียงดินแดนอันน้อยนิดที่มุสลิมปาเลสไตน์ได้อาศัยและเป็นเจ้าของอยู่ กองกำลังไซออนิสต์ยังคงรังแกเราทุกวี่ทุกวัน ความอ่อนแอของมุสลิมยังฝังรากลึกด้วยความแตกแยกกันเอง กลับกลายเป็นว่ายิวนั้นได้ระบายความเจ็บแค้นที่เคยเจ็บปวดแสนสาหัสในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 มายังมุสลิมปาเลสไตน์แทน จะเป็นไปได้ไหมว่า ยิวแค้นเคืองมุสลิมที่ครั้งหนึ่งได้เคยเข้าร่วมกับผู้ที่ตนเกลียดชังเป็นที่สุด เรื่องนี้ก็มิอาจยืนยันได้แม่นมั่นในยุคของเราปัจจุบัน ทั้งรัฐคิลาฟะฮฺอุษมานียะฮฺ Handschar และท่านมุฟตีมุหัมมัด อามีน อัลหุสัยนีย์ ต่างก็จากปาเลสไตน์ไปทั้งหมดแล้ว (แต่ไซออนิสต์ยังคงอยู่) เหลือพี่น้องมุสลิมไม่มากที่ยังคงต่อสู้ต่อความโหดร้ายของชาวยิวในดินแดนปาเลสไตน์ ชัยชนะนั้นย่อมมาสู่พลพรรคของอัลลอฮฺแน่นอน อินชาอัลลอฮฺ แต่เมื่อไหร่นั้นเรายังมิอาจรู้ และยังคงมีคำถามในใจมุสลิมหลายๆท่านว่า เมื่อไหร่ ประโยคที่ว่า มุสลิมมีเรือนร่างอันเดียวกันนั้น มันจะถูกทำให้เป็นจริงขึ้นมาอีกครั้งเหมือนในอดีต มันยากยิ่งนักใช่ไหมสำหรับดวงใจที่เปราะบางของอุมมะฮฺมุสลิม ?
I could have killed all the Jews in the world but i left some of them so you know why i was killing them ” ...Adolf Hitler
ถ้าข้าพเจ้าจะฆ่ายิวให้หมดไปจากโลกนี้ ก็ย่อมทำได้ แต่ข้าพเจ้าเหลือพวกเขาไว้บ้าง เผื่อพวกท่านจะได้รู้ว่า ทาไมข้าพเจ้าถึงได้ฆ่าพวกเขา
...อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
อ้างจาก วรสารสมิอนา วาอาตออนา 8 ปีที่ 3

3 ความคิดเห็น: