วันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

กลุ่มฟื้นฟูอิสลาม ญามาอะฮฺดะอฺวะฮฺตับลีฆ

กำเนิดญามาอะฮฺดะอฺวะฮฺตับลีฆ

หลังจากอาณาจักรโมกุล(Moghul) ล่มสลาย ใน ค.ศ. 1857 โลกอิสลามที่เคยรุ่งเรืองในอินเดียก็ตกต่ำลง ภายใต้การปกครองของอังกฤษมหาอำนาจจากตะวันตก อารยธรรมของชาวตะวันออกนั้นเอกลัษณ์อันโดดเด่นก็คือในเรื่องของจิตวิญญาณ เมื่ออังกฤษได้เข้ามาปกครองอินเดีย ได้นำเอาวัตนธรรมตะวันตก เทคโนโลยี วัตถุนิยม โลกียะ เข้ามาทำลายล้าง อารยธรรมอินเดีย อารยธรรมอิสลาม นอกจากนั้น พวกมิชชันนารีคริสเตียนก็ได้เข้ามาชักชวนให้ชาวอินเดียเข้ารับศาสนา คริสต สภาพสังคมในยุคนั้นจึงเกิดการปั่นป่วนและขัดแย้งกันระหว่าง 2 วัตนธรรม มุสลิมในอินเดียจึงได้มีกลุ่มขบวนการทั้งที่ต่อต้านมหาอำนาจจากตะวันตก และก็มีกลุ่มที่สนับสนุนมหาอำนาจจากตะวันตกเหมือนกัน (กลุ่มที่สนับสนุนและรับใช้ตะวันตกเช่น ลัทธิก็อดยานีย์ ก่อตั้งโดย มิรซา ฆุลาม อะฮฺมัด ที่อ้างว่าตนเป็นนบี และอีหม่ามมะฮฺดี คําสอนที่สําคัญคือการยกเลิกการญิฮาด เพี่อทําลายขบวนการที่ต่อต้านตะวันตก ) ความเสื่อมโทรมได้ครอบงำอินเดีย มุสลิมได้เหินห่างจากหลักการอิสลาม ขาดจริยธรรม นั่นคือสภาพสังคมในยุคนั้น
จุดเริ่มต้นญามาอะฮฺตับลีฆมาจาก เมาลานาอิสมาอีล ผู้เป็นพ่อของเมาลานา อิลยาส พำนักอยู่ที่นีซอมุดดีนอย่างสันโดษ อยู่ในบ้านบนกำแพงแดงใกล้กับมัสยิดบังเลอวาลี (Banglewali) ได้ตั้งโรงเรียนสอนศาสนาแห่งมัสยิดบังเลอวาลีขึ้น ได้นำชาวเมวัตมาเรียนศาสนา แล้วส่งกลับไปเมวัตเพื่อให้คนเหล่านั้นกลับไปฟื้นฟูศาสนา เมาลานาอิลยาส ก็เห็นด้วยกับวิธีการของเมาลานาอิสมาอีล จึงสืบทอดเจตนารมณ์เดินทางไปเมวัต ได้สร้างโรงเรียนสอนศาสนาขึ้นในเมวัตหลายแห่ง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เมาลานาอิลยาสยังไม่พอใจเท่าที่ควร เพราะเป็นการยากที่จะให้ชาวชนบทมาเข้าเรียนในโรงเรียนสอนศาสนากันทุกคน และโรงเรียนสอนศาสนายังไม่เป็นอิสระต่อสภาพแวดล้อม
หลังจากกลับจากฮัจย์ครั้งที่ 2 เมาลานาอิลยาสจึงเริ่มงานตับลีฆโดยการปลุกเร้าให้ประชาชนรวมตัวกันเป็นญามาอะฮฺ และจัดญามาอะฮฺออกเดินทางสู่ชนบทในชุมชนชาวเมวัต เชิญชวนให้ผู้คนปฏิบัตตามคำสอนพื้นฐานของอิสลามคือ สอนกาลีมะฮฺและสอนการละหมาด และเชิญชวนผู้คนให้ให้ทำงานดะวะฮฺตับลีฆ นั่นคือจุดเริ่มต้นของญามาอะฮฺตับลีฆ
เมาลานามูฮัมมัด ซะกะรียากล่าวในหนังสือฟะฎออิลอะมาล (Fadail al-A‘mal คุณค่าของอาม้าล) (... : 374) ซึ่งเป็นหนังสือหลักของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ ว่า “‘งานตับลีฆที่ได้เริ่มขึ้นโดยคุณลุงผู้เป็นที่เคารพคือ ท่านเมาลานา มุฮัมมัด อิลยาส คันดะฮฺลาวีย ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ทำงานเผยแพร่ศาสนาอันพิเศษยิ่งนี้และงานของท่านนั้นได้แผ่ขยายออกไป มิใช่เฉพาะในประเทศอินเดียเท่านั้น แต่ยังได้แผ่ขยายเข้าไปในฮิยาซ (ซาอุดิอารเบีย) เช่นกัน ผู้คนที่มาจากทั่วทุกภาคของอินเดีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกเมวัต และที่มาจากต่างประเทศเช่นกัน ย่อมได้รับผลประโยชน์จากงานชิ้นนี้
คำกล่าวของเวีย (Veer, 1992 : 552) ว่ากลุ่มตับลีฆเป็นชื่อของขบวนการปฏิรูป ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดย ฮัดรัต เมาลานา มุฮัมมัด อิลยาส (..1885-1944) และประสบผลสำเร็จในการรณรงค์เพื่อปรับปรุงความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับอิสลามและความประพฤติของชุมชนมุสลิมเขตเมวัต ใกล้เดลลีในปี .. 1934 อิลยาสได้จัดตั้งสำนักงานใหญ่ที่มัสยิดและโรงเรียนที่ท่านบิดาเคยรับใช้ ซึ่งอยู่ใกล้กับสถานที่อันสำคัญและมีชื่อเสียงของซูฟีที่มีชื่อว่า นิซามุดดีน เดลลี
ส่วนอัลฮัฟนียฺ (al-Hafni, 1993 : 148) กล่าวว่ากลุ่มดะวะฮฺตับลีฆถือกำเนิดขึ้นในประเทศอินเดีย จัดตั้งขึ้นโดย เชค มุฮัมมัด อิลยาส คันดะฮฺลาวียฺ (.. 1303-1363) กับบุตรชายของเขาที่มีนามว่า เชค มุฮัมมัด ยูซุฟ คันดะฮฺลาวียฺ
ข้อความทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้นแสดงให้เห็นว่า กลุ่มดะวะฮฺตับลีฆเป็นขบวนการฟื้นฟูการดะวะฮฺของท่านศาสนทูตมุฮัมมัด (ศ็อลลัลลอฮุอะลัยฮิวะซัลลัม) เพื่อปฏิรูปสังคมมุสลิม ก่อตั้งโดยมุสลิมชาวอินเดียชื่อว่า อิลยาส คันดะฮฺลาวียฺ ตามด้วยบุตรชายของท่านที่ชื่อว่า มุฮัมมัด ยูซุฟ คันดะฮฺลาวียฺ ซึ่งประสบผลสำเร็จในปี 1934 และได้แพร่หลายในและนอกประเทศอินเดีย

ผู้ก่อตั้งและผู้นำกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆที่สำคัญ

1- เชค มุฮัมมัด อิลยาส อัลคันดะฮฺลาวียฺ
เชค มุฮัมมัด อิลยาส อัลคันดะฮฺลาวียหรือที่เรียกสั้นๆว่า เมาลานา อิลยาส บุตรเมาลานา อิสมาอีล บุตร กุลามฮุเซ็น บุตร ฮากิมการีมบากช์ บุตร หะกีมฆุลามมุดฮุดดีน บุตร มุลวีมุฮัมมัด ซาญิด บุตรมุลวีมุฮัมมัด ฟาอิซ บุตรมุลวีมุฮัมมัดซารีฟ บุตรมุลวีอัชรอฟ บุตร เชคญะมาลมุฮัมมัด ชาหฺ บุตร บาบันชาห์ บุตร เชคมุฮียุดดีน ชาหฺ บุตรมุลวีมุฮัมมัดเชค บุตร เชคมุฮัมมัด ฟาซิล บุตร เชคกุตุบชาหฺ เกิดในปี ..1303-1364 / .. 1885-1944 เป็นผู้สถาปนากลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ เกิดใน ครอบครัวซูฟีที่หมู่บ้านคันดะฮฺลา (Kandhla) เขตมูซัฟฟัรนากอฮฺ (Muzaffarnagah) ประเทศอินเดีย เป็นบุตรคนที่ 2 และเป็นบุตรสุดท้องของมุฮัมมัด อิสมาอิล (..1335/..1917) กับภรรยาคนที่ 2 ที่มีนามว่าศอเฟียผู้จดจำคัมภีร์กุรอานได้ทั้งหมด (al-Nadawi, 1990 : 9-10, W.Troll, n.d. : 139)
ในช่วงวัยเด็กท่านใช้ชีวิตอยู่กับปู่ทางฝ่ายมารดาของท่านที่ตำบลคันดะฮฺลาและกับบิดาของท่านที่นิซามุดดีน ในช่วงเวลานั้นตำบลคันดะฮฺลาเป็นตำบลที่มีชื่อเสียงในเรื่องของการศึกษาศาสนา เด็กชายอิลยาสเติบโตขึ้นในชุมชนสองแห่งนี้ (มุสลิมไทมส์ ฉบับเดือนพฤษจิกายน, 2541 : 31)
<!--[if !vml]--><!--[endif]-->          ครูของท่านเชคเมาลานา มุฮัมมัด อิลยาส อัลคันดะฮฺลาวียฺ เมาลานาอิลยาส เริ่มการศึกษาของท่านในโรงเรียนเล็กๆและตามธรรมเนียมของ ครอบครัวคือการเรียนท่องจำอัลกุรอานที่คันดะฮฺลา การเรียนท่องจำอัลกุรอานเป็นเรื่องปกติของครอบครัวและเป็นประเพณีที่สืบต่อมาของมุสลิมอินเดีย ท่านได้ศึกษากับอาจารย์ที่มีชื่อเสียงหลายท่านในสมัยนั้น  เช่น เชค มุฮัมมัด ยะฮฺยา ปี .. 1315/.. 1897  เชค รอชีด อะฮฺมัด อัล แกนโกฮี  เมาลานา มะฮฺมูด หะซัน  เมาลานา คอลีล อะฮฺมัด ซะฮะรันปูรี  เชค อับดุลราฮีม อัลรออีย และ เชค อัซรอฟ อะลี อัลตะฮานะวีย



2 เชค มุฮัมมัด ยูซุฟ อัลคันดะฮฺลาวีย
เชค มุฮัมมัด ยูซุฟ อัลคันดะฮฺลาวียฺ (Shaykh Muhammad Yusuf ..1335 /1385..1917-1965) เป็นบุตรชายของเชค มุฮัมมัด อิลยาส และเป็นผู้สืบตำแหน่งแทน เกิดที่ดะฮฺลา สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนดารุลอุลูมแห่งดิวบาน ท่านได้เขียนหนังสือ ฮะยาตอัลเศาะฮาบะฮฺ (Hayat al-Sahabah) ท่านสิ้นชีวิตที่ลาโฮรฺ (Lahore) ฝังศพที่นิซามุดดีน ใกล้กับสุสานของท่านเชค มุฮัมมัด อิลยาส มีบุตรคนเดียวมีนามว่า มุฮัมมัด ฮารูน เป็นบุคคลหนึ่งที่ติดตามในแนวทางของท่าน (al – Nadwah al ‘Alamiyyah li Shabab al–Islami, 1989 : 93)
ในวันที่ 12 กรกฎาคม เมาลานาอิลยาสถามเมาลานา ซะกะรียา เมาลานาอับดุลกอดีร ไรปูรี และเมาลานาซอฟารอะหฺมัดว่า บุคคลเหล่านี้ท่านไว้วางใจผู้ใดมากที่สุด คือ ฮาฟิซมัดบู้ล หะซัน กอฎี ดาวูด มุลลีเอี๊ยะติฮามุ้ลหะซัน มุลวีมุฮัมมัดยูซุฟ อีนามุ้ลหะซันและมุลวีไซยิดราซ่า หะสัน และควรแนะนำประชาชนให้คำมั่นกับคนใดคนหนึ่งที่พวกท่านเห็นว่าเหมาะสมที่สุด บรรดาผู้อาวุโสเหล่านี้ได้ปรึกษากันแล้วและบอกกับเมาลานาอิลยาสว่าพวกเขาเห็นว่า เมาลานายูซุฟเหมาะสมที่สุดด้วยประการทั้งปวง ท่านมีความแตกฉานในบทบัญญัติศาสนา เป็นผู้ศึกษาค้นคว้าตลอดเวลา เป็นผู้เคร่งครัดศาสนา เมาลานาอิลยาสกล่าวว่าหากท่านเลือกเช่นนั้นพระเจ้าจะประทานความเป็นศิริมงคลให้แต่ก่อน ข้าพเจ้ากลุ้มใจและหวั่นใจมาก ท่านกล่าวเสริมว่า แต่เดี๋ยวนี้ ข้าพเจ้าสบายใจแล้ว และหากพระเจ้าประสงค์งานตับลีฆก็ยังคงดำเนินต่อไปหลังจากข้าพเจ้าจากไปแล้วหลังจากนั้นท่านก็เรียกหาเมาลานายูซุฟว่าให้เข้ามาใกล้ๆฉัน ให้ฉันได้กอดท่าน ฉันกำลังจะจากไป (เมาลานา อบุล หะซัน อัน-นัดวี, 2542 : 102)
พิธีการสืบทอดภาระหน้าที่ของเมาลานายูซุฟจัดขึ้นในตอนเช้า ท่ามกลางน้ำตาแห่งความเศร้าโศก ผ้าโพกศีรษะของเมาลานาถูกนำมาโพกให้กับเมาลานายูซุฟ
<!--[if !vml]--><!--[endif]-->ภายใต้อามีร (ผู้นำ) ยูซูฟ ขบวนการนี้ก็ได้ขยายออกไปทั่วอินเดียและปากีสถานและยิ่งกว่านั้นขบวนการนี้ได้แพร่หลายในซาอุดีอาระเบีย อิรัก ซีเรีย จอร์เดน ตุรกี อังกฤษ ญี่ปุ่น และ อเมเริกา (W. Troll, n.d. : 142) ซึ่งอาจจะกล่าวได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการแพร่หลายของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ



3 เมาลานา อินอาม อัลหะซัน
เมาลานา เอนอามูลหะซัน (Maulana In‘amul Hasan) เป็นผู้นำคนที่ 3 ของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆซึ่งดำรงตำแหน่งหลังจากท่าน เชคมุฮัมมัด ยูซุฟ อัล คันดะฮฺลาวียเสียชีวิตในปี .. 1385/ ..1965 (al - Nadwah al ‘Alamiyyah li Shabab al - Islami, 1989 : 93) สมัยนี้เองกลุ่มดะวะฮฺ ตับลีฆก็เข้าสู่ประเทศไทยและมาเลเซียหรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นสมัยที่กลุ่มดะวะฮฺตับลีฆได้แพร่หลายไปทั่วโลก

แนวคิดกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ
            กลุ่มดะอฺวะฮฺตับลีฆมีแนวคิดหลักหกประการหรือเรียกว่า (เออนัมปรีซิก) หมายถึงหลักหกประการ อีกทั้งยังมีกฎปฏิบัติที่ทุกคนต้องยึดถือและปฏิบัติฝึกฝนตนเองให้อยู่ในกฏระเบียบที่วางไว้ ซึ่งแนวคิดและกฎต่างๆมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

หลักหกประการของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ
1. หลักหกประการ
1.1 มั่นใจในคำปฏิญาณตน
1.2 ละหมาดที่มีสมาธิและนอบน้อม
1.3 ความรู้และการรำลึกถึงอัลลอฮฺ
1.4 ให้เกียรติและช่วยเหลือพี่น้องมุสลิม
1.5 บริสุทธิ์ใจ
1.6 เสียสละในหนทางของอัลลอฮฺ

กฏข้อปฏิบัติของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ
2. กฏข้อปฏิบัติและวินัย
2.1 สี่ประการที่ควรกระทำให้มาก
2.1.1 การชี้ชวน
2.1.2 การเรียนการสอน
2.1.3 การซิกิรฺและอิบาดะฮฺ (ปฏิบัติศาสนกิจ)
2.1.4 การบริการ
2.2 สี่ประการที่ควรระวัง
2.2.1 การเชื่อฟังหัวหน้า
2.2.2 มุ่งกิจกรรมส่วนรวมมากกว่าส่วนตน
2.2.3 อดทน อดกลั้น
2.2.4 ระวังเกียรติของมัสยิด
2.3 สี่ประการที่ควรลด
2.3.1 เวลาสำหรับรับประทานและดื่ม
2.3.2 เวลานอน
2.3.3 การพูดจาในเรื่องของโลก
2.3.4 การออกจากมัสยิด
2.4 สี่ประการที่ควรละเว้น
2.4.1 การหวังจากผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺ
2.4.2 การขอจากผู้อื่นนอกจากอัลลอฮฺ
2.4.3 การสุรุ่ยสุร่ายและเหลือเฟือ
2.4.4 การใช้ของผู้อื่นโดยมิได้รับอนุญาต
2.5 สี่ประการที่ห้ามเกี่ยวข้อง
2.5.1 เรื่องข้อขัดแย้งทางศาสนา
2.5.2 เรื่องการเมืองในและต่างประเทศ
2.5.3 เรื่องฐานะและตำแหน่ง
2.5.4 เรื่องการขอบริจาคและการกระทำที่เสียเกียรติทางสังคม


ตารางกิจกรรมประจำกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ
กลุ่มดะวะฮฺตับลีฆจะจัดตารางกิจกรรมประจำของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆขณะพักอาศัยตามมัสยิดช่วงการเดินทางดังนี้
12.30-13.00 . ละหมาดฎุฮริ, บายานตะอารูฟ (แนะนำคณะ)
13.00-13.30 . รับประทานอาหาร
13.30-15.00 . พักผ่อน
15.00-15.45 . ตะลีม (เรียน) มูซากาเราะหฺ (อภิปราย, ชี้แจงเกี่ยวกับ) อาดับ
(หลักวินัย), ดูอา (การขอพร)
15.45-16.15 . ละหมาดอาซัร
16.15-16.45 . บายานฆัสต์ (บรรยายข้อปฏิบัติในการออกพบปะเชิญชวน)
16.45-18.00 . อิฟรอดีอามัล (ปฏิบัติศาสนกิจส่วนตัว)
18.00-18.30 . ออกฆัสต์ (ออกพบปะเชิญชวน)
18.30-20.00 . ละหมาดมัฆริบ บายาน (บรรยายธรรม)
20.00-20.30 . ละหมาดอีซา
20.30-21.00 . รับประทานอาหารค่ำ พักผ่อนและนอน
03.00-04.00 . ละหมาดตะฮัจจุด,ละหมาดวิติร, ละหมาดฮาจัด, ละหมาดเตาบะฮฺ
04.00-05.15 . อ่านกุรอาน, ซิกิรฺ
05.15-05.30 . ละหมาดซูโบะฮฺ
05.30-07.00 . บายาน กุลลียะฮฺซูโบะฮฺ, ละหมาดอิซรอค, ฎุฮา
07.00-08.00 . กัรกนซารี (รายงานผล)
08.00-09.30 . รับประทานอาหาร
09.30-10.30 . พักนอก
10.30-11.00 . ตะลีม, มูซากาเราะฮฺ, ฮัลเกาะฮฺอัลกุรอาน, อาดับ, อูซูล, ดูอา
11.00-12.00 . ภารกิจส่วนตัว (อาบน้ำ, ซักผ้า ฯลฯ)

เมื่อครบกำหนดเวลาออกแล้ว จะมีบายานตังโงะหรือวับซีก่อนจะเดินทางกลับบ้าน (โมหัมมัด อับดุลกาเดร์, ... )



ศูนย์การบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ
กลุ่มดะวะฮฺตับลีฆได้จัดตั้งศูนย์กลางการบริหารเป็นจำนวนมากแต่ผู้วิจัยขอนำเสนอเพียงที่สำคัญๆดังนี้
1. มัสยิดบังกเลอวาลี
มัสยิดบังกเลอวาลี (Banglewali) นิซามุดดีน (Nizammuddin) นิวเดลลี ประเทศอินเดียศูนย์กลางการบริหารระดับโลกของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ เป็นสถานที่ที่เมาลานาอิสมาอีลผู้เป็นบิดาของท่านเมาลานา มุฮัมมัด อิลยาส ผู้สถาปนากลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ เคยอยู่มาก่อน ที่มัสยิดแห่งนี้มี โรงเรียนสอนศาสนาแห่งหนึ่ง ซึ่งบิดาของท่านของท่านเป็นผู้ก่อตั้งขึ้น เป็นโรงเรียนที่ให้การศึกษาระดับต้นและนักเรียนส่วนมากเป็นลูกหลานของชาวเมวาต ในสมัยของท่านเมาลานามุฮัมมัด อิลยาส สถานที่แห่งนี้ก็ได้จัดให้เป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆ
2. ไรวินด์
ไรวินด์ (Raiwind) ประเทศปากีสถาน ศูนย์นี้ได้จัดงานพบปะชุมนุมในเดือนพฤศจิกายนของทุกปีและมีผู้เข้าร่วมทั่วโลกกว่าหนึ่งล้านคน
3. ตุงงี
ตุงงี (Tungi) เมืองดักกา ประเทศ บังกลาเทศ ศูนย์นี้ได้จัดงานพบปะชุมนุมในเดือนมกราคมของทุกปีและมีผู้เข้าร่วมทั่วโลกกว่าหนึ่งล้านคน
4. มัสยิดมัรกาซี
มัสยิดมัรกาซี (Markazi) เดิมเป็นโบสถ์ของชาวยิว หลังจากกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆได้เข้าไปในประเทศอังกฤษในปี 1946 โบสถ์ดังกล่าวก็ถูกเปลี่ยนเป็นมัสยิดและเป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในกรุงลอนดอน
5. อเมริกา
จากการสำรวจการขยายตัวของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในอเมริกาในรอบ 35 ปี เริ่มตั้งแต่แรกเข้าไปของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในอเมริกาเมื่อปี .. 1952 จนถึง 1987 พบว่า กลุ่มดะวะฮฺตับลีฆได้ครอบครองมัสยิดในอเมริกาเป็นจำนวนทั้งหมด 25 มัสยิดด้วยกัน (Haddad and Lummis อ้างใน Metcalf, n.d. : 113)
6. มัสยิดอุมัร
มัสยิดอุมัร (Omar) เป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ศูนย์นี้ได้จัดตั้งขึ้นหลังจากกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆได้เข้าไปดำเนินงานในฝรั่งเศสเป็นครั้งแรกในปี .. 1962

7. สมาคมและมัสยิดกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆแห่งประเทศเบลเยียม
สมาคมและมัสยิดกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆแห่งประเทศเบลเยียม สถาปนาอย่างเป็นทางการขึ้นในปี ..1975 โดยผู้นำกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆซึ่งเป็นชาวโมร็อคโค เพื่อเป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในประเทศเบลเยียม
8. ดิวส์เบอรี
โรงเรียนสอนศาสนาดิวส์เบอรี (Dewsbury) ในภาคตะวันตกของยอร์คไชร์ (West York shire) เป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในบริเตน ที่ได้จัดตั้งขึ้นในปี .. 1980 ศูนย์นี้ได้จัดงานพบปะชุมนุมในเดือนมิถุนายนของทุกปีและมีผู้สนใจเข้าร่วมเป็นจำนวนหลายพันคน
9. สถาบันการศึกษาอิสลามอัลรอซีด
สถาบันการศึกษาอิสลามอัลรอซีด (al–Rashid Islamic Institute) จัดตั้งขึ้นในปี .. 1987 ซึ่งมีมัสยิดโตรอนโต (Toronto) สถาบันนี้เป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในประเทศแคนาดา
10. มัสยิด อัลนูรมัรกัสยะลา
มัสยิด อัลนูรมัรกัสยะลา ตั้งอยู่ที่หมู่ที่ 3 ตำบลสะเตงนอก อำเภอเมือง จังหวัดยะลา เป็นศูนย์กลางการบริหารของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย มัสยิดนี้ได้จัดตั้งขึ้นในปี .. 2536


อ้างอิงจากเอกสารประกอบการสอนรายวิชานักคิดและกลุ่มฟื้นฟูอิสลาม
เรียบเรียงโดย อาจารย์อับดุลลาตีฟ การี อาจารย์ประจำคณะอิสลามศึกษา มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา



53 ความคิดเห็น:

  1. เอาอีกเอาอีก เเล้วญามาอะฮอื่นนๆล่ะ

    ตอบลบ
  2. ก็มีคับ ญามาอะห์อิควานแห่งอียิปต์ ญามาอะห์อิสลามียะห์แห่งปากีสถาน ลองหาดูใคลังบทความคับ ก้จะเจอเองคับ

    ตอบลบ
  3. thx so msh
    I'll back to read ur block again ^^

    ตอบลบ
  4. ไม่ระบุชื่อ11 มีนาคม 2554 เวลา 19:20

    ผู้จัดพิมพ์หนังสือฟะฎออิลุ้ลอะม้าลที่ใหญ่ที่สุดซึ่งอยู่ ณประเทศอินเดียได้ทำการ เตาบัตขออภัยโทษ
    รายงานพิเศษโดยสัยยิดอับดุล กอยูม ณ วันที่ 29 เดือน 12 ปี 2002
    ได้มาจากบทสัมภาษณ์คุณมุฮัมมัด อากีล

    http://www.ahya.org/amm/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=192

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ9 เมษายน 2555 เวลา 23:35

      เป็นเรื่องปกติวิสัยของคนดีที่เมื่อได้ทำอะไรลงไปแล้วมักจะขออภัยโทษจากผู้ทรงรอบรู้ยิ่ง ( อัลลอฮ ซบ.) เสมอ ต่างกับมือใหม่หัดขับที่มักจะเหยอหยิ่งในผลงานของตนเสมอ แต่ถึงอย่างไรไม่สำคัญเท่าเมล็ดพันธ์ที่ดี ย่อมงอกเงยในสิ่งที่ดีเสมอ คนที่วิจารย์ดะหวะฮ์หลายๆคน เมื่อได้ยินเสียงอาซานก็ยังเมินเฉยอยู่กับบ้าน หลงตัวเองว่าจบ บีเอ เอมเอ ดร. มา รู้ดีในภาษาอาหรับ แต่ไม่เข้าใจเจตนารมย์ในเสียงอาซาน หลายๆองค์กรที่อ้างตนว่าคืออิสลามที่แท้จริง รู้ป่าวว่า มีคอมมิชั่ม เพียบในแต่ละโครงการ แม้แต่การหาเงินมาสร้ามัสยิดต่างก็ไม่ละเว้น เบื่อนักวิจารย์ที่สัมผัสมาด้วยหู และตา ทำตัวเป็นนักวิเคราะห์ วิจัย วิจารย์ ผมเคยผ่ามาเกือบทุกองค์กรแล้วจึงรู้ถึงไส้พุง กับดะวะฮ์ผมก็ลงทุนศึกษา แต่ไม่ไช่แต่ลงทุนด้วยหู และด้วยตานะ ผมลงทุนด้วยเงิน เวลา และพาตนเองไปสัมผัสแล้วถึงสี่เดือน จึงรับรู้และสัมผัส (ผมใช้คำว่า "และ" ) รับรู้ว่าเขาเชิญชวนให้เราเข้าถึงพระเจ้า (ไม่ไช่แค่รู้) และก็ไม่มีผลประโยชน์ใดแอบแฝงใดๆมาเจือปน ท้าให้ลองพิสูจน์ด้วยตนเองงนะ ผมเป็นนักเรียนประเภทที่ไม่ชอบอาจารย์ที่โมเม

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ9 เมษายน 2555 เวลา 23:43

      ตอนดะวะฮ์มาใหม่ๆ แม่งเป็นขี้ปากชาวบ้านและนักวิชาการ แต่ยิ่งตียิ่งโต ช่วงหลังนี้ซาลงไปเยอะ ผมว่านะ การสำรวจความผิดพลาดหรือข้อด้อยของตนเองเป็นปฐมฤกษ์ย่อมดีกว่าการสำรวจเพื่อนบ้านเป็นไหนๆ แฮๆๆ

      ลบ
  5. ไม่ระบุชื่อ11 มีนาคม 2554 เวลา 19:22

    หนังสือฟะฎออิลุ้ลอะม้าลซึ่งเขียนโดย เมาลานา ซะการียา คัลเดลวี เป็นหนังสือที่ญะมาอัต ตับลีฆได้ใช้ในการเผยแผ่งานดะอ์วะฮ์ มันเป็นหนังสือเพียงเล่มเดียวที่กลุ่มตับลีฆอนุญาตให้นำมาอ่านในการรวมตัวของพวกเขา และได้มีการเน้นกันเป็นพิเศษในการให้ความสำคัญกับมันจนถึงขั้นว่าพวกเขาได้อ่านหนังสือเล่มนี้ในทุกๆเวลาหลังละหมาดฟัรฎู ซึ่งมีความเชื่อที่ผิดเพี้ยนจำนวนมากในหนังสือเล่มนี้ และก็ยังมีเรื่องเล่าต่างๆที่เหมือนกับนิทานที่หาที่มาที่ไปไม่ได้ ซึ่งเป็นเหตุทำให้เสียอะกีะฮ์ที่ถูกต้อง มันเป็นเช่นนี้อยู่ครึ่งศตวรรษแล้ว

    ตอบลบ
  6. ไม่ระบุชื่อ11 มีนาคม 2554 เวลา 19:24

    พี่น้องคงยังพอจำได้ เมื่อหลายปีก่อน มีข่าว ขึ้นหน้าหนึ่งมุสลิมไทย และอีกหลายเวปว่า "ผู้จัดพิมพ์หนังสือคุณค่าอาม้าลที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย เตาบัตแล้ว"ต้นฉบับภาษอังกฤษ http://www.ahya.org/amm/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=192
    คำแปลภาษาไทย http://www.mureed.com/article/Apologize.htm

    ตอบลบ
  7. พี่ๆครับพอจะทราบไหมครับว่า ข้อมูลวิจัย ของกลุ่มดะวะห์ แบบวิชาการ สามารถติดต่อใครได้บ้างครับ รบครับ แนะนำหน่อยครับ ด่วนๆๆ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2555 เวลา 03:35

      มีเพื่อนๆหลายๆคนที่ต้องการทำการวิจัยงานดะวะห์ และเคยขอข้อมูลดะวะห์จากผมไป ผมไม่ให้ แต่กลับบอกเขาว่าถ้าต้องการวิจัยให้ถึงแก่นของงานดะวะห์ ก็ให้ออกไปประสบสัมผัสด้วยตนเอง ไม่งั้นงานวิจัยของมึงจะได้แค่เปลือกเหมือนกับงานวิจัยทั่วไปที่ผ่านๆมา

      ลบ
    2. คุณไม่ระบุชื่อ ทำไมพูดจาหยาบคายล่ะครับ ออกสี่เดือนแล้วทำใหญ่อย่างนี้ต่อให้ออกสักสี่ปี(ตะกับโบร)ก้อไม่หมดหรอกครับ

      ลบ
    3. นี่ละครับผลวิจัยส่วนนึง >_<

      ลบ
  8. ข้อมูลวิจัยเรื่องอะไรคับ

    ตอบลบ
  9. ไม่ระบุชื่อ11 สิงหาคม 2554 เวลา 04:06

    والله يوافق عندعلمك؛

    ตอบลบ
  10. ไม่ระบุชื่อ15 สิงหาคม 2554 เวลา 01:37

    ท่านอาจจะลอกจากวิทยานิพนธ์ "แนวคิดเชิงซูฟีของกลุ่มดะวะฮฺตับลีฆในจังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย" เขียนโดยมะสาการี อาแดhttp://soreda.oas.psu.ac.th/show_detail.php?research_id=117

    ตอบลบ
  11. ถ้าเป็นยังงั้น ก็ต้องขอมาอัฟ ณ ที่นี้ ด้วยคับผม ขอบคุณที่กล่าวตักเตือนคับ แต่ผมอยากจะบอกว่า ข้อมูลนี้ผมได้ใช้เรียนในห้องเรียนคับ แล้วอาจารย์ที่สอนก็เรียบเรียงมาอีกครั้งหนึ่ง แต่ยังไม่สมบูรณ์คับผม แต่ผมคิดว่า นาจะมีประโยชน์สำหรับผู้ที่จะศึกษาค้นคว้า ผมก็เอามาลงคับผม โดยอ้างจากอาจารย์ที่เรียบเรียง และได้สอนผมคับ ถ้ายังงัยก็ขอโทษ ขอมาอัฟด้วยคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ6 กรกฎาคม 2555 เวลา 08:20

      เสียชื่ออาจารย์นะ
      ไปขอโทษอาจารย์ด้วย
      ไม่งั้น
      เดี่ยวจะไปฟ้อง

      ลบ
  12. ไม่ระบุชื่อ21 สิงหาคม 2554 เวลา 23:54

    ผมคิดว่าอาจารย์ของท่านควรอ้างวิทยานิพนธ์เพราะถือเป็นโจรกรรมวิชาการ

    ตอบลบ
  13. มันแรงไปไหมคับ อาจารย์เขาไม่ผิดหรอกคับ ผมบอกแล้วว่าอาจารย์เขายังเรียบเรียงยังไม่เสร็จ ยังไม่สมบูรณ์ แล้วผมก็บอกแล้วว่าผมขอโทษ ขอมาอัฟด้วย ที่ผมเอ่าข้อมูลนีั้ลงโดยที่ไม่ได้อ้างอิง คนที่ผิดคือผมเอง เพราะผมเอง ผมก็ไม่ทราบว่าข้อมูลนี้เป็นงานวิจัยของคนที่คุณอ้าง แต่ที่ผมเอาข้อมูลนี้ลง ผมคิดว่ามันมีประโยชน์สำหรับผู้ที่สนใจที่จะศึกษาค้นคว้า แล้วผมก็คิดว่าความรู้ทั้งหมดมันเป็นของอัลลอฮ ถ้าหากอาจารย์เขาเอาข้อมูลจากงานวิจัยของคนที่คุณอ้างจริง แล้วเอาไปสอนในสถาบัน คนที่ทำงานวิจัยนั้นก็ได้รับผลบุญด้วย มันไม่ดีหรอคับ ผมคิดว่าน่าจะคิดให้มากกว่านี้นะคับ

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2555 เวลา 03:48

      น่าจะได้บุญนะ แต่ถ้าเดินตามก้นยิวก้อต้องทบทวนเรื่องลิขสิทธิ์ด้วย แค่นี้เอง

      ลบ
    2. ขอบคุณคับ ที่บอกว่าผมเดินตามหลังก้นยิวคับ ในเรื่องลิขสิทธิ์ ขอบคุณคับ

      ลบ
  14. ไม่ระบุชื่อ7 กันยายน 2554 เวลา 20:04

    ผมขอให้น้องได้ทำความเข้าใจกับอาจารย์ที่เป็นนักวิจัยดีกว่า

    ตอบลบ
  15. ไม่ระบุชื่อ28 ตุลาคม 2554 เวลา 00:35

    อัสลามมุอะลัยกุมพี่น้อง ที่่หลงทาง ดิฉันแต่งงานกับคนที่เรียกตัวเองว่า ตัฆรีค เช่นกัน มีลูก 4 คน สามีออก 4 เดือน 40 วัน 3 วัน ประจำ ทิ้งภาระไว้ข้างหลัง ทิ้งลูก ทิ้งเมีย ไร้อมานะห์ อย่างที่สุด ยังไม่พอ กลับ มา ยังอยากได้เมียเพิ่ม ทุกวันนี้ ได้หย่า แล้ว สบายใจ ไม่น่าเชิญชวนกันออกไป หลงทาง กันขนาดนี้เลย สมัยท่านนบี ท่านก็ไม่เคยทำกันเช่นนี้ หนังสือ ต๊ะห์ริม ก็เหมือนน้ำผสมหยดเหล้า

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ6 กรกฎาคม 2555 เวลา 07:59

      เห็นด้วยอย่างที่สุด
      เรียกได้ว่าพวกไร้อมานะฮฺจริงๆๆๆๆๆๆๆ

      ลบ
    2. ที่แท้ก็เรื่องนัฟเกาะห์กับนัฟซูนั่นเอง คนที่ทำงานดะวะห์คนอื่น คู่อื่นเค้าไม่เห็นเป็นอย่างนี้นี่นา คู่ของคุณไม่เข้าใจกันเองแล้วมาเหมาเอาว่างานดะวห์ ไม่ดีอย่างนู้น อย่างนี้ การกล่าวหาหนังสือต๊ะลีมนี่ยิ่งร้ายเลย ทั้งเล่มมีแต่อายะห์กุรอ่านและหะดิษที่ยกมาเสริมคุณค่าของการทำอามั้ล อาจมีเรื่องเล่าของคนซอและห์ปนมาบ้าง แต่คุณมองเห็นเป็นน้ำผสมเหล้าไปซะงั้น
      จงหันกลับมามองตัวเองบ้างนะ แทนที่จะกล่าวหาแต่ผู้อื่นไม่ดี

      ลบ
  16. ไม่ระบุชื่อ28 ตุลาคม 2554 เวลา 00:41

    การที่ออกไปกัน พากันออกไป เป็น กลุ่ม ๆ ท่านนบีจะเรียกมาทดสอบเป็น คน ๆ ไป ว่ามีความรู้มากน้อย แค่ไหนที่จะออกไปสอน ผู้อื่นได้ ขนาดว่า มีชายผู้หนึ่งบอกกับท่านนบีว่า ฉันได้ลงชื่อออกรบ กับ ท่านนบี แต่ภรรยา ต้องการไปทำฮัจย์ ท่านนบี บอกว่าให้ไปถอนชื่อ แล้ว ไปทำฮัจย์กับภรรยา แต่สมัยนี้ สามี ข่มภรรยา ไม่มีความรับผิดชอบ ออกกันไป ทิ้ง ลูก ทิ้งเมีย ให้ลูกเมีย หากินกันเอง ไร้ความรับผิดชอบจริง ๆ ไปไม่เห็นได้อะไรกัน ไปมั่ว ๆ กัน เหมือน พระ ออก ธุดง ไม่ผิดเพี้ยนกันสักนิด ตะริม ก็เหมือนกัน หะดีษเก๊ เพรียบ มีนักวิชาการคนหนึ่ง บอกให้นำไปเผาไฟ พวกคุณชวน ๆ กันออกไป มีกี่ครอบครัวแล้ว หย่าขาด แตกแยก ด้วยกับคำว่า ผัว เป็น ตัฆรีค ไร้อะมานะห์ พอกันได้แล้ว เสียดาย

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2555 เวลา 00:09

      ผมเป็นนักธุรกิจ มีครอบครัวใหญ่พอใช้ได้ แต่ก่อนผมก็ฟังเรื่องเน่าๆอย่างนี้เหมือนกัน แต่ผมเป็นคนที่ไม่ชอบการเรียนรู้แค่เฉพาะด้วยแค่การฟัง การเห็นเท่านั้น ผมจึงตัดสินใจออกดะวะห์เพื่อสัมผัสจริง รู้จริงด้วยตนเอง ปัจจุบันนี้สิ่งที่ฟังมาหรือเห็นกันมาแค่ผิวเผินไม่ได้เป็นเช่นนั้น ผมมีเวลาทำงานเหลือเฟื่อ มีเวลาอยู่กับลูกเมีย แต่สิ่งที่ผมได้มาเพิ่ม ผมได้เรียนรู้การปฏิบัติตนหลายๆอย่างที่ โรงเรียน หรือมหาลัยของผมไม่เคยป้อนให้ อีกอย่างการออกไปดะหวะฮ์นั้นไม่ไช่การออกจากบ้านไปสอนคนนะ ลองไปดิ แต่มันคือการออกไปหาสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าเท่าที่จะดีได้เพื่อขัดเกลาตนเอง ที่ไม่เข้าใจนั้นเพราะมัวแต่อยู่กับบ้าน โลกนนี้กว้างนะรอให้สัมผัสและเรียนรู้ นักอะไรดีๆทั้งหลายแหล่ล้วยก็เป็นคนที่ชอบเดินทางออกนอกบ้าน ( ไม่ไช่ท้ิงบ้านนะ ) ทั้งน้าน สำหรับผมการออกดะวะฮ์ คือการได้ศึกษาคำภีร์เล่มใหญ่เล่มหนนึ่งเชียวหล่ะ

      ลบ
    2. มีหะดิษเก๊ด้วยหรอ? ถ้าหะดิษอ่อน(ฎออีฟ) น่ะใช่มีอยู่บ้าง แต่อุลามะอฺเค้าฟัตวากันแล้วว่าหะดิษอ่อนแต่เป็นหะดิษที่ส่งเสริมการทำความดีก็ถือว่านำมาใช้ได้ อัพเดทข้อมูลมั่งนะท่าน

      ลบ
  17. อัซสลามมูอาลัยกุม พี่คับอย่าลืมว่าศาสนานั้นหนะมีใว้ให้คนนับถือนะคับแต่เมื่อใดที่วันนึงมีแต่ศาสนาแต่ไม่มีคนพยายามบนศาสนาซักวันศาสนาก็จะจางหายไปนะคับ เช่น มีทุ่งนาอย่างเดียวแต่ไม่มีคนทำนาเมื่อใดที่เราบริโภคผลผลิตจากทุ่งนานั้น(ข้าวสาร)อย่างเดียวซักวันนึงข้าวสารก็จะหมดไปถ้าไม่มีคนทำนาลูกหลานเราก็จะไม่ใด้บริโภคข้าวสารนั้นอีกต่อไปนะคับกรณีนี้ก็เช่นกันที่จำเป็นที่จะต้องให้อุมมัตยุคสุดท้ายนี้มาพยายามบนศาสนาเพราะถ้าไม่มีคนพยายามแล้ววันนึงลูกหลานเราก็จะไม่มีศาสนาเลยนะคับ ไม่มีศาสนาในที่นี้หมายถึงมีแต่ชื่อที่เป็นมุสลิมมีแต่คำว่านับถือศาสนาอิสลามในบัตรประชาชนเท่านั้นแต่ในการดำรงชีวิตไม่เลยชื่อเท่านั้นที่บอกว่าอิสลามแต่ในชีวิตจริงกลับใช้ชีวิตตามแบบอย่างของ ยาฮูดี ทั้งสิ้นถ้าวันนี้เรายังไม่เข้าใจในจุดนี้ไม่เพียงแต่ลูกหลานของเราที่จะถูกกลืนโดยวัฒนธรรมอันเสื่อมโทรมหากแต่ว่าเราเองยังถูกกลืนโดยที่เราก็ไม่รู้ตัวเลยนะคับ ลองกลับไปใตร่ตรองดูอีกครั้งนะคับผมคงบอกใด้แค่นี้เพราะที่เหลือคุณต้องตัดสินใจเองว่าคุณจะบริโถคข้าวสารอย่างเดียวหรือคุณจะให้มีคนมาทำนา ฝากใว้แค่นี้นะคับ ขอให้อัลลอฮมอบเตาเฟก และ ฮีดายัต ให้แก่ผมและคุณรวมทั้งอุมมัตของนบี(ซล)ทุกคนนะคับ อามีน

    ตอบลบ
  18. ถึงคนที่โพสต์ก่อนหน้านี้
    ผมคิดว่ามันเป้นปัณหาที่ตัวบุคคลไหมละคับ มันไม่ได้เป็นปัญหาที่องค์กรหรอกคับ คนดีๆก็มีนะคับเพียงแต่คุณผู้หญิงอาจจะโชคไม่ดีเท่านั้นเองหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ ดังนั้น ผมก็ไม่ให้คุณผู้หญิง ด่วนสรุปไปทั้งหมด นะคับเนอะ

    ตอบลบ
  19. ผมรู้จักอาจารย์ท่านนี้ดี เท่าที่รู้ท่านบอกว่าท่านยังทำเอกสารไม่เสร็จสมบูรณ์กำลังอยู่ในช่วงพัฒนาทั้งภาษาและอ้างอิง จึงไม่ควรด่วนสรุป ว่าโจรกรรมข้อมูล อีกทั้งไม่รู้ว่าผู้นำเผยแพร่ได้รับอนุญาตจากอาจารย์หรือยัง ขอบคุณ คราบๆๆๆๆ

    ตอบลบ
  20. ไม่ระบุชื่อ23 ธันวาคม 2554 เวลา 22:22

    ที่บ้าหนูเขาก้อไม่ได้อยูในดะวะตับลีฆที เขาเป็นอุสตาชแต่เขามีพฤติกรรมอย่างเห็นได้ชัดว่าไม่ดี

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2555 เวลา 04:03

      ที่บ้านผมคนเรียนศาสนาไว้หาเงิน ทำงานไม่ค่อยเป็น สอนครั้งหนึ่งได้หลายตังค์เหมือนกัน ใครดีกว่าไม่ได้ชอบหาเรื่องวิจารณ์

      ลบ
  21. ไม่ระบุชื่อ4 มกราคม 2555 เวลา 06:23

    อัลฮัมดุลิลละฮฺ...ญาซากัลลอฮุค็อยรอน...สำหรับผู้ที่นำบทความมาลงนะค่ะ ใช้ในการประกอบความรู้หลายๆอย่างได้ค่ะ ^^ และขอเป็นกำลังใจให้ทำบทความต่อไป เรามีเหนียตที่ดี ผลตอบแทนที่ตามมาก็จะดีค่ะ Insya allah :)

    ตอบลบ
  22. ไม่ระบุชื่อ4 มกราคม 2555 เวลา 06:26

    อุปสรรค ขวากหนาม ย่อมมีอยู่แล้วละค่ะ เพราะนั่นคือบททดสอบสำหรับเรา ถ้ามันเป็นสิ่งที่ไม่ดี เราก็สามารถนำคำวิจารณ์เหล่านั้นมาเปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้ ต่างคน ต่างความคิด ต่างทัศนคติ มันไม่มีอะไรแปลกไปหรอกค่ะ เพียงแต่ว่าเราต้องยอมรับซึ่งกันและกัน น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

    มุสลิมคือพี่น้องกัน ^_____^ วัลลอฮุอะลัม

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. ขอบคุณคับ ที่ให้กำลังใจ ขอบคุณมากๆ อัลลอฮตอบแทนคับ

      ลบ
  23. ในโลกอิสลามได้เกิดขบวนการที่เข็มแข็ง เพื่อนำอิสลามในฐานะชะรีอะฮฺที่เป็นระบอบแห่งชีวิตกลับมาอีกครั้ง และเพื่อสถาปนาบรรทัดฐานแห่งความยุติธรรมระหว่างมนุษย์ เพื่อให้มวลมุสลิมปลดปล่อยดินแดนต่างๆออกจากการยึดครอง เพื่อปลดปล่อยสติปัญญาออกจากความเขลาและเรื่องราวเหลวไหลไร้สาระ เพื่อปลดปล่อยสังคมให้พ้นจากการกดขี่ การขาดแคลน และความยุ่งเหยิง ….....

    เมาลานา ซัยยิด อบุล ฮะซัน อาลี อัน นัดวีย

    ตอบลบ
  24. ไม่ระบุชื่อ2 มีนาคม 2555 เวลา 17:53

    มีความเห็นที่บอกว่า ญามาะอ่ะตับลีฆ ใช้หนังสือเล่มเขียวเล่มเดียว ผมว่าเขียนจะไปศึกษาญามาะอ่ะ ตับลีฆ ให้ดีก่อนนะครับ หนังสือที่ใช้ในแต่ละภมูภาคของญามาะตับลีฆ ก็ไม่เหมือนกันครับ หนังสือที่ญามาะตับลีตใช่ ก็ มี หนังสือมุนตะค็อบฮาดิส ฮายาตุสเศาหาบะ 5 เล่ม ฮาดิสริยาดุสซอลิฮีน(จะใช้แพร่หลายทางอาหรับ)

    ตอบลบ
    คำตอบ
    1. เห็นด้วยอย่างยิ่งคับผม

      ลบ
    2. ไม่ระบุชื่อ10 เมษายน 2555 เวลา 03:54

      แค่ฟังเค้ามา แค่อ่านมา แค่เหลียวตาเห็น เค้าเรียกว่ารู้ไม่จริง ก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก แต่ปัญหาอยู่ที่ว่าไม่รู้แล้วทำอวดรู้

      ลบ
  25. ไม่ระบุชื่อ15 เมษายน 2555 เวลา 10:37

    เป็นลัทธิใหม่

    ตอบลบ
  26. ไม่ระบุชื่อ6 กรกฎาคม 2555 เวลา 08:07

    โอ้พี่น้องตับลีฆที่รักยิ่ง
    พอเถอะ พอสักที กับการพยายามทำอะไรที่ร้ายหลักการเช่นนี้
    หากท่านกรุณาหาหลักฐานที่แน่นพอ ว่ามันคือแนวทางของท่านศาสดาแล้ว
    ฉันอาจจะลบความต่อต้านแนวคืดท่านบ้าง
    ได้โปรดเถอะ
    หยุดเสียทีกับการสร้างแนวคิดที่สีสันไร้รากฐาน
    หันมาใช้เวลาที่หมดไปมาศึกษาความจริงกันเถอะ
    เพราะมุสลิมเป็นพี่น้องกัน
    ไม่เช่นนั้นความอคติของฉันกับท่านคงไม่ต่างกับคนทั่วไป
    ด้วยความรัก ปราถนาให้ท่านได้พบกับหนทางที่เที่ยงแท้ ณ อัลลอฮฺ
    ขอพระองค์ทรงชี้ทางนำที่พระองค์ทรงพอพระทัย อัลลฮุมมาอามีน

    ตอบลบ
  27. ไม่ระบุชื่อ6 กรกฎาคม 2555 เวลา 08:17

    ถึงนักศึกษาที่อ้างชื่ออาจารย์ที่ฉันเคารพ
    นี่เป็นเพียงความเป็นมา
    ไม่ใช่การสรุปว่าถูกหรือไม่
    กรุณาทำความเข้าใจใหม่
    เดี่ยวสอบ ณ อัลลอฮฺจะไม่ผ่าน

    ตอบลบ
  28. ไม่ระบุชื่อ30 กรกฎาคม 2555 เวลา 23:46

    สิ่งที่เราคิดว่าดีนั้น..จะต้องดีอย่างที่พระองค์อัลลอฮฺได้สั่ง
    และท่านนบีมุหัมมัดได้บอกไว้เท่านั้น
    สิ่งที่เราจะทำนั้น..ต้องเป็นอย่างที่พระองค์อัลลอฮฺนั้นต้องการ
    และนบีมุหัมมัดได้ทำไว้เป็นแบบอย่าง
    เพราะท่านนบีมุหัมมัดได้บอกไว้แล้วว่า..อิสลามนั้นไม่เหมือนใคร..และไม่มีใครเหมือนอิสลาม
    และท่านยังบอกอีกว่า..อิสลามนั้นสมบูรณ์แบบที่สุดในโลก..และอิสลามนั้นไม่มีข้อผิดพลาดแม้สักเรื่องเดียว..ถึงจะเป็นเรื่องเล็กน้อยสักเพียงใดก็ตามที
    จงใคร่ครวญให้ดี..ก่อนที่จะคิดหรือจะทำอะไร..เพื่อหวังผลตอบแทนจากพระองค์อัลลอฮฺ..นั้นคือสวนสวรรค์..
    แต่ถ้าไม่ตรงอย่างที่พระองค์อัลลอฮฺต้องการหรือได้กำหนดไว้
    และอย่างที่ท่านนบีมุหัมมัดได้ทำไว้เป็นเบบอย่าง..
    สิ่งสุดท้ายที่จะได้รับผลตอบแทนนั้น..ก็คือ..นรกต่างหาก..
    วะอิยาซุบิ้ลลาฮฺ....

    ตอบลบ
  29. โอ้พี่น้องตับลีฆที่รักยิ่ง
    พอเถอะ พอสักที กับการพยายามทำอะไรที่ร้ายหลักการเช่นนี้
    หากท่านกรุณาหาหลักฐานที่แน่นพอ ว่ามันคือแนวทางของท่านศาสดาแล้ว
    ฉันอาจจะลบความต่อต้านแนวคืดท่านบ้าง
    ได้โปรดเถอะ
    หยุดเสียทีกับการสร้างแนวคิดที่สีสันไร้รากฐาน
    หันมาใช้เวลาที่หมดไปมาศึกษาความจริงกันเถอะ
    เพราะมุสลิมเป็นพี่น้องกัน
    ไม่เช่นนั้นความอคติของฉันกับท่านคงไม่ต่างกับคนทั่วไป
    ด้วยความรัก ปราถนาให้ท่านได้พบกับหนทางที่เที่ยงแท้ ณ อัลลอฮฺ
    ขอพระองค์ทรงชี้ทางนำที่พระองค์ทรงพอพระทัย อัลลฮุมมาอามีน

    ตอบลบ
  30. ไม่ระบุชื่อ3 กันยายน 2555 เวลา 01:48

    อัสซาลามูอาลัยกุมฯ
    ขบวนการฟื้นฟูอิสลามของกลุ่มดะวะตับลีฆ ได้สรรสร้างสังคมมุสลิมให้เจริญงอกงาม
    อย่างเหลือคณานับ ได้ช่วยดึงผู้คนที่ไม่เคยได้อิบาดะห์ต่ออัลลอฮ์มาเลยชั่วชีวิต
    ได้กลับมาสู่ร่มเงาแห่งอัลอิสลามมาจำนวนมากมาย ได้ช่วยฟื้นฟูการปฏิบัติตนของมุสลิม
    และมุสลีมะห์ให้อยู่ในกรอบแห่งอัลอิสลามมามากมาย เช่นการละหมาดญามาอะห์ที่มัสยิด การแต่งกายที่แสดงความเป็นมุสลิมที่ชัดเจน มุสลีมะห์มีการคลุมฮิญาบมากมาย
    เหล่านี้ ต้องยอมรับว่าเกิดจากขบวนการฟื้นฟูอิสลามของกลุ่มกลุ่มนี้

    แล้วมามองผลงานของขบวนการอีกกลุ่มหนึ่ง ที่ผมไม่รู้จะเรียกว่ากลุ่มอะไรดี แต่ไม่น่า
    จะเรียกว่าเป็นขบวนการฟื้นฟูอิสลามอย่างแน่นอน เพราะผลงานที่ผ่านๆมา ของกลุ่ม
    เหล่านี้ล้วนแล้วแต่สร้างผลงานที่เป็นการตรงข้ามกับ "ขบวนการฟื้นฟูอิสลาม"อย่างสิ้นเชิง

    กลุ่มคนเหล่านี้จะเรียกตัวเองว่า เป็นกลุ่มซุนนะห์ เกิดจากคนที่ไปเรียนด้านศาสนาที่ต่างประเทศ ใช้เวลาเรียนประมาณ4-5ปี แล้วกลับมาทำงานเรียกร้องผู้คนใหเข้ามาอยู่ในสังกัดของตน โดยชูประเด็นว่าพวกเขามานำเสนอแนวทางที่เทียงตรง แนวทางที่ถูกต้อง
    ที่สุด บางคนเรียกว่าคำสอนของตนนั้นเป็นถึงสูตรของท่านนบี

    มาดูผลงานและผลลัพย์ของกลุ่มพวกนี้ ที่เห็นได้ชัดเจนเป็นรูปธรรมมากที่สุด ก็คือความสำเร็จที่พวกเขาได้สร้าง"รอยร้าวและความแตกแยก"ในสังคมมุสลิม ไปทั่วทุกหย่อมหญ้า และที่น่าเป็นห่วงที่สุดก็คือ สร้างความคลอนแคลน ในเรื่องของอิหม่าน ต่อคนหนุ่มสาว เพราะเกิดความสับสนวุ่นวายที่กลุ่มคนเหล่านี้นำมาเสนอ จนพวกเขามึนงงไปหมด

    งานหลักๆที่กลุ่มพวกนี้นำเสนอก็คือ คำสอนทางด้านศาสนาที่อุลามาอ์รุ่นเก่าๆที่ทั้งชีวิตของพวกเขาอยู่กับอัลกุรอานและอัลฮาดิษ ที่ได้นำมาสอนพวกเรานั้น เป็นคำสอนที่ผิด
    เป็นบิดอะห์ เกือบทั้งสิ้น คำสอนที่บริสุทธิ์ผุดผ่องและที่ถูกต้องนั้น ต้องเป็นคำสอนของกลุ่มพวกเขา (ที่เรียนมาประมาณ4-5ปี)เท่านั้น แถมบางคนวิชานาฮูยังไม่กระดิกเลย
    แต่ไปบังอาจฮู่ก่มอุลามาอ์ที่ทั้งชีวิตอยู่กับอัลกุรอานและฮาดิษ

    อืออ โอกาสหน้าจะมาต่อใหม่ มีธุระเร่งด่วน
    วัสลาม

    ตอบลบ
  31. ไม่ระบุชื่อ3 มกราคม 2556 เวลา 23:24

    เราอาจจะรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้แต่ก็ไม่ควรตัดสินคนอื่นโดยไม่รู้ความถึงตั้งใจที่หัวใจว่าหัวใจที่เขาทำไปเพื่อ...หนทางใด
    เพราะสุดท้ายชีวิตไม่พ้นความตาย ถ้ามัวแต่มานั่งหาว่าใครถูกใครผิด
    เอาเวลาไปอ่่านอัลกุรอาน และทำความเข้าใจชีวิตคงจะมีสิ่งดีๆเข้ามามากกว่านี้

    ตอบลบ
  32. ไม่ระบุชื่อ2 สิงหาคม 2556 เวลา 19:28

    คำคม(ต่อต้านดะวะฮ์)ส่วนใหญ่ที่อ่านในกระทู้มาจาก อาจารย์ดังๆทั้งนั้น อาจารย์จะรับผิดชอบไหวมั๊ยเนี่ยะ.......เพราะอาจารย์ก็ยังไม่เข้าใจแก่นแท้ของงานดะวะฮ์เลย......

    ตอบลบ
  33. ท่านแรก เกิดในครอบครัวซูฟี เอะ??

    ตอบลบ
  34. ชัยค์ซอลิฮ อัลเฟาซาน ฮะฟิเซาะฮุลลอฮได้กล่าวว่า :

    การออกดะวะห์ตับลีฆมันคือการสั่งใช้ในการละทิ้งสิ่งที่เป็นความชั่ว หาก แต่มันเป็นหนทางไปสู่บิดอะห์!!!...หมายความว่า

    คือการกลับตัวกลับใจจากสิ่งเป็นความชั่วต่างๆ ก็จริงแต่หารู้ไม่ ว่านั่นแหละคือการหลงเข้าไปในสิ่งที่เป็นบิดอะห์! ,,, กลุ่มดะวะห์ตับลีฆ เป็น พวกบิดอียะฮฺ(อุตริกรรม) ซูฟียะฮฺ(กลุ่มซูฟี) ,,,
    ไม่อนุญาติที่จะออกไปกับพวกเขา และ

    นั่งร่วมวงกับพวกเขา ,,

    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ให้เตาบะฮฺ และ นั่งร่วมอยู่กับบรรดากลุ่มชนที่ทำความดี ต่อ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูว่าตะอาลา
    ฟ่าตาวา ว่าร่อซาอิล 1/174

    ตอบลบ
  35. ผู้ก่อตั้งแนวทางตับเลฆอยู่ในสายซูฟีบำเพ็ญตนทรมานเพื่อบรรลุและอย่างรู้เรื่องสิ่งเร้นลับซึ่งเป็นเชื่อหลงผิดของแนวทางซูฟีที่ใช้ความคิดนำหน้าหลักการศาสนา

    ตอบลบ
  36. ผู้ก่อตั้งแนวทางตับเลฆอยู่ในสายซูฟีบำเพ็ญตนทรมานเพื่อบรรลุและอย่างรู้เรื่องสิ่งเร้นลับซึ่งเป็นเชื่อหลงผิดของแนวทางซูฟีที่ใช้ความคิดนำหน้าหลักการศาสนา

    ตอบลบ
  37. ชัยค์ซอลิฮ อัลเฟาซาน ฮะฟิเซาะฮุลลอฮได้กล่าวว่า :

    การออกดะวะห์ตับลีฆมันคือการสั่งใช้ในการละทิ้งสิ่งที่เป็นความชั่ว หาก แต่มันเป็นหนทางไปสู่บิดอะห์!!!...หมายความว่า

    คือการกลับตัวกลับใจจากสิ่งเป็นความชั่วต่างๆ ก็จริงแต่หารู้ไม่ ว่านั่นแหละคือการหลงเข้าไปในสิ่งที่เป็นบิดอะห์! ,,, กลุ่มดะวะห์ตับลีฆ เป็น พวกบิดอียะฮฺ(อุตริกรรม) ซูฟียะฮฺ(กลุ่มซูฟี) ,,,
    ไม่อนุญาติที่จะออกไปกับพวกเขา และ

    นั่งร่วมวงกับพวกเขา ,,

    จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ให้เตาบะฮฺ และ นั่งร่วมอยู่กับบรรดากลุ่มชนที่ทำความดี ต่อ อัลลอฮ ซุบฮานะฮูว่าตะอาลา
    ฟ่าตาวา ว่าร่อซาอิล 1/174

    ตอบลบ